‘ไบกอร์เร็กเซีย’ด้านมืดผู้ชายเล่นกล้าม
กล้ามท้องเป็นมัด มีวีเชพหรือมีกล้ามเป็นรูปตัววีกำลังฟีเวอร์ หรือเป็นที่นิยมในหมู่ดารา นายแบบ และเซเลบริตี้
โดย...พริบพันดาว
กล้ามท้องเป็นมัด มีวีเชพหรือมีกล้ามเป็นรูปตัววีกำลังฟีเวอร์ หรือเป็นที่นิยมในหมู่ดารา นายแบบ และเซเลบริตี้ ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ สงกรานต์-ภูผา เตชะณรงค์ กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ วู้ดดี้-
วุฒิธร มิลินทจินดา ชาคริต แย้มนาม บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ แทค-ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม และอีกมากมาย
การออกกำลังกายที่เรียกว่า เพาะกายสไตล์นายแบบ ทำให้ผู้ชายไทยลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเลียนแบบเหล่าไอดอลชื่อดังของตัวเองกันมากมาย ซึ่งตรงกับผลการวิจัยว่า ดาราหรือคนดังจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนหันเข้าฟิตเนสออกกำลังกายเพื่อให้มีหุ่นที่ดูดีเช่นนั้นบ้าง ด้วยการหันหน้าเข้าฟิตเนสเพราะอยากมีกล้ามแขน ท้อง และน่อง ซึ่งการมีกล้ามหน้าท้อง ที่เรียกว่า ซิกซ์แพ็ก นั้น กลายเป็นกล้ามเนื้อส่วนแรกๆ ของร่างกายที่คนเข้าฟิตเนสตั้งเป้าต้องเพาะให้สำเร็จ
ปัจจุบัน เทรนด์การออกกำลังกายขยับขึ้นมาอีกระดับ การมีกล้ามท้องครบถ้วนทั้งซิกซ์แพ็ก และวีเชพ แล้วก็ยังไม่พอ เพราะเทรนด์ใหม่ของคนเข้าฟิตเนสเล่นกล้าม คือต้องมีเส้นเลือดปูดโปนที่กล้ามเนื้อด้วย เส้นเลือดที่ต้องสร้างให้นูนขึ้นมาเริ่มตั้งแต่มือไล่ไปยังบริเวณกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้าที่เรียกลูกหนู (ไบเซป) ต่อไปยังไหล่ ถือเป็นแนวเส้นเลือดโป่งที่กำลังมาแรงมากในหมู่คนมีกล้ามเวลานี้ รวมถึงบริเวณน่องด้วย เพราะกล้ามสวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเส้นเลือดปูดโปนเพิ่มขึ้นมาให้เห็นอีกด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความลีน (lean) แสดงให้เห็นว่ามีความฟิตจัด ร่างกายมีไขมันน้อยมาก
การจะไปถึงจุดนี้ได้ ต้องเกิดจากการออกกำลังกายและสร้างกล้ามเนื้ออย่างหนัก และกลายเป็นที่มาของโรคอุบัติใหม่ที่มีชื่อว่า โรคไบกอร์เร็กเซีย (Bigorexia) หรือ มัสเซิล ดิสมอร์เฟีย (Muscle Dysmorphia) โรคเสพติดกล้ามเนื้อใหญ่ของผู้ชาย
มาดูด้านมืดของการออกกำลังกายเพาะกล้ามที่เกินความสามารถและกำลังของผู้ชายยุคใหม่กัน
ด้านกลับของโรค ‘อนอเร็กเซีย’
อนอเร็กเซีย หรือ อนอเร็กเซีย เนอโวซ่า(Anorexia Nervosa) เป็นโรคของความผิดปกติในการกิน ผู้ป่วยจะมีปัญหาทางด้านจิตใจ มักรู้สึกว่าหากควบคุมการกินอาหารของตัวเองได้ ก็จะสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ทำให้ร่างกายผ่ายผอมมากเนื่องจากพยายามลดอาหารและออกกำลังมากเกินไป มักเกิดในวัยรุ่นผู้หญิงอีกเช่นกัน อาการที่เด่นชัดคือพยายามอดอาหารหรือกินให้น้อยที่สุด เพราะรู้สึกมีปมด้อย ไม่พึงพอใจเรื่องรูปร่างของตนเอง ส่วนมากเกิดขึ้นกับผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่เป็นวัยรุ่น
สำหรับผู้ชายมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นโรคอนอเร็กเซียแบบกลับด้าน คือคิดว่าตัวเองมีรูปร่างเล็ก ผอมเกินไป กล้ามเนื้อน้อย เลยพยายามหาทางทำให้มันใหญ่ขึ้น แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่กล้าออกมายอมรับและเปิดเผยตัวกับแพทย์มากนัก
นั่นคือโรคไบกอร์เร็กเซีย หรือโรคเสพติดกล้ามเนื้อใหญ่ของผู้ชาย หรือโรคที่คิดว่าตัวเองตัวเล็กเกินไป ไม่กำยำ ล่ำสัน ไม่แข็งแรง ไม่มีกล้ามเนื้อมากพอ ทั้งที่ความจริงแล้วร่างกายของตัวเองก็ใหญ่ สมส่วนดีอยู่แล้ว พวกนี้จัดเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของโรคจิตที่เกิดจากความไม่พึงพอใจในรูปร่างของตัวเอง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในผู้ชายวัยรุ่นหรือวัยกลางคน
รู้จักโรคไบกอร์เร็กเซียให้ลึกซึ้ง
ข้อมูลจากการรายงานข่าวของบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซีระบุว่า ผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ชายอังกฤษ 1 ใน 10 คน ที่ชอบหมกมุ่นคลุกตัวอยู่กับการออกกำลังและการเพาะกายในยิมทุกวัน มีโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคไบกอร์เร็กเซีย หรือโรคที่ไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง ซึ่งอาการแบบนี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า ทุกข์ เครียด จนบางครั้งนำไปสู่การใช้สารสเตียรอยด์ เพื่อเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อในแบบผิดๆ หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
ร็อบ วิลสัน ประธานมูลนิธิเพื่อโรคหลงผิดว่ามีรูปร่างผิดปกติ (Body Dysmorphic Disorder-BDD) ระบุว่า โรคดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะผู้ชายถูกตีกรอบให้คิดว่าจะต้องมีรูปร่างแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น จึงจะดูเป็นชายที่แข็งแรง หล่อเหลา และประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดแรงกดดันที่ผู้ชายจะต้องขวนขวายให้ตนมีกล้ามเนื้อท้องแบบซิกซ์แพ็ก และหุ่นแบบตัววีอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชายที่มีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งรังแกในวัยเด็ก ก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน เพราะอดีตที่ฝังใจ
สำหรับสาเหตุของโรคไบกอร์เร็กเซีย ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่มาอย่างแน่ชัด โดยตั้งสมมติฐานว่าอาจเกิดจากสารเคมีบางตัวในสมองบวกกับปัญหาในวัยเด็ก รวมถึงปัจจัยเสี่ยงภายนอก อาทิสื่อภาพยนตร์ ดารานักร้อง นายแบบ อาจเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้หลายคนมีแรงผลักดันให้เกิดความผิดปกติทางความคิด
กรณีตัวอย่างในอังกฤษ
นอกจากนี้ บีบีซีได้นำเสนอคลิปวิดีโอของ ประทีป บาลา ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นโรคไบกอร์เร็กเซีย โดยชี้ว่าบาลาเกิดความไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง ทุกๆ เช้าเขามักจะมายืนส่องกระจก และติเตียนรูปร่างของตัวเองตลอดเวลา บ้างบอกว่าหลังเขายังเล็กไป แบน ไม่สวย ต้องใหญ่และโหนกนูนกว่านี้ หน้าท้องก็ไม่สวย กล้ามไม่เป็นระเบียบ แขนดูเรียบเล็กไป ดูไม่เข้าพวกกับลำตัว ทำให้เขาต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการที่เขาอยากจะเป็น
อีกคนเป็น อดัม ทริซ วัย 31 ปี นักเพาะกายมือสมัครเล่น จากชีพลีย์ เวสตายอร์กเชียร์ วัย 31 ปี ซึ่งบอกว่าเขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นไปกับการออกกำลังและเพาะกาย รวมถึงหลงผิดเลือกใช้สารสเตียรอยด์ในการเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ จนทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่ง ทั้งงาน บ้าน และคนรัก ทริซบอกว่า เขารู้สึกโดดเดี่ยว เครียด หดหู่ จนเกือบจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง ซึ่งในปัจจุบันตัวเขาได้เข้ารับการบำบัดและการรักษากับทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวเขาเองรู้สึกดีมากขึ้นหลังเข้ารับการบำบัด จนตอนนี้ทำให้เขารู้สึกภูมิใจและรักตัวเองมากขึ้น
แน่นอน ก่อนหน้านี้ในอังกฤษเช่นกัน จากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ เดอะ ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ได้นำเสนอข่าวของ อันเดรจ กาจดอส วัย 19 ปี วัยรุ่นนักเพาะกายที่เสียชีวิตลง หลังหมดสตินอกห้างเทสโก้ใกล้กับที่พักของเขาในเมืองเวสตัน ซูเปอร์เมียร์ ของอังกฤษ โดยที่เขาหวังจะเพาะกายเล่นกล้ามให้เป็นเหมือน ดเวน จอห์นสัน หรือ “เดอะร็อก” นักมวยปล้ำและนักแสดงชื่อดัง จากการไต่สวนของศาลทำให้ได้รับทราบข้อมูลว่า วัยรุ่นรายนี้เข้ายิมวันละสองครั้งเพื่อเพิ่มขนาดร่างกายของตน ซึ่งจากการชันสูตรศพเจ้าหน้าที่ได้พบสารอนาโบลิกสเตียรอยด์ และสารเทสโทสเทอโรนในร่างกายของเขาด้วย ดร.จอห์น ออกซ์ลีย์ ผู้ทำการชันสูตรได้กล่าวต่อศาลว่า ขนาดอวัยวะของวัยรุ่นรายนี้มีขนาดใหญ่โตผิดปกติ โดยหัวใจของเขามีน้ำหนัก 680 กรัม ขณะที่โดยปกติจะมีน้ำหนักราว 400-500 กรัม ซึ่งสเตียรอยด์ทำให้หัวใจของเขาขยายใหญ่ขึ้น และการมีหัวใจโตมีส่วนโน้มนำให้เกิดอาการเส้นเลือดแตกในทรวงอกได้
แชมป์โลกเพาะกล้ามฟันธง‘คนไทยก็เสี่ยง’
ดร.สิทธิ เจริญฤทธิ์ อดีตนักเพาะกายแชมป์โลกรุ่น 80 กิโลกรัม 3 สมัย จาก 2 สถาบัน IFBB และ WBPF บอกว่าการเล่นกล้ามที่คนรุ่นใหม่นิยมกัน โดยเฉพาะผู้ชาย เพราะเห็นดาราที่ดังๆ อย่าง อั้ม-อธิชาติ
ชุมนานนท์ เล่นกล้ามกันแล้วออกมาดูดีออกมาสวย ไม่ใช่เล่นกล้ามเพื่อการแข่งขันที่ออกมาน่ากลัวแข็งแกร่ง
“เพาะกายแบ่งเป็นสองแบบ การแข่งขันที่เป็นกีฬากับเพาะกายแบบนายแบบ สำหรับการเพาะกายแบบนายแบบมันไม่ยากเกินความสามารถ ส่วนเพาะกายเพื่อการแข่งขันมันต้องใช้เวลานาน และต้องใช้ความอดทนสูงมาก เพราะว่าต้องมีระเบียบวินัย เรื่องความพยายามทุกอย่างต้องครบ”
คำแนะนำสำหรับการเล่นกล้าม ดร.สิทธิให้ความรู้ว่า อันดับแรกต้องพูดถึงเป้าหมายของแต่ละคนเสียก่อน ถ้ามีเป้าหมายเพื่อการแข่งขัน นั่นคือชัยชนะในแต่ละสนามแข่งขันเป็นความพอใจของเขา เป็นจุดสิ้นสุดในแต่ละครั้งของเขา
“เป้าหมายก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างผม เป้าหมายแรกก็เป็นแชมป์ประเทศไทย จากนั้นก็อยากได้ในระดับนานาชาติ พอได้เหรียญทองระดับเอเชียก็อยากได้เป็นแชมป์โลกอีก พอได้ครั้งหนึ่งก็อยากได้สัก 3 ครั้งเป็นเกียรติประวัติ สำหรับผมพอใจตรงนั้นและจบที่ตรงนั้น
สำหรับคนที่เพาะกายหรือเล่นกล้ามเพื่อสุขภาพ เป็นการออกกำลังกายซึ่งไม่ใช่เป็นกีฬาเพื่อการแข่งขัน คนกลุ่มนี้จะรักตัวเองมาก มีความชื่นชมและลุ่มหลงพอใจในรูปร่างของตัวเองมาก ฉะนั้นจะเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อของตัวเองยังไม่พอยังไม่ดี ยังไม่ได้ยังไม่เด่น ซึ่งเป็นตรงนี้มากกว่า ตราบใดที่เขายังเปรียบเทียบกับคนอื่น มันจะไม่มีคำว่าที่สิ้นสุด”
จุดที่ไม่มีความพอใจหรือสิ้นสุด ก่อให้เกิดโรคไบกอร์เร็กเซีย ดร.สิทธิ มองว่าแล้วแต่เฉพาะบุคคล แต่แนวโน้มมีเกิดขึ้นได้สูงสำหรับวิถีชีวิตการออกกำลังกายเพาะกายเล่นกล้ามยุคใหม่
“บ้านเราน่าจะมีโรคนี้ เพราะมีการแข่งขันเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มพวกนายแบบซึ่งเป็นเรื่องของงาน ถ้ากล้ามสวยแข็งแรงหลายๆ คนก็จะได้งานที่ดี เพราะเป็นเรื่องของการที่มีรูปร่างและหน้าตาที่ดี เพราะฉะนั้นความพึงพอใจในรูปร่างของเขา ซึ่งจะพึงพอใจหรือไม่ก็อยู่ที่แต่ละบุคคลนั้นๆ บางคนอาจจะเริ่มต้นเป็นแค่นายแบบก่อน พอใจแค่มีซิกซ์แพ็ก ฟิตแอนด์เฟิร์ม พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าอยากจะให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม ลองลงแข่งขันดูสิ ก็เป็นเรื่องของสเต็ปในแต่ละสเต็ปที่ไต่ขึ้นไป ก็ไปจบลงในเรื่องของการแข่งขันอยู่ดี หลายๆ คนก็เป็นแบบนี้”
ดร.สิทธิ บอกว่า การเล่นกล้ามต้องรู้จักคำว่า “พอใจ” และรู้จักวิเคราะห์ตัวเองว่ามีโครงสร้างแบบไหน เป็นอย่างไร ไปได้แค่ไหน แต่บางคนที่ไม่ได้ประเมินหรือวิเคราะห์ตัวเองเลยก็จะเกิดความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
“นั่นคือโครงสร้างของร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด บางคนอาจจะตั้งเป้าหมายสูงมาก ก็คือถ้าเป็นคนเอเชียมีโครงสร้างไหล่แคบ ถ้าอยากไปเป็นเหมือนพวกโอลิมเปีย หรือระดับ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ อย่างนี้ เรียกว่าไม่รู้จักประเมินตน ซึ่งก็ได้แต่ฝัน เพราะความเป็นจริงไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่จะมาเล่นเพาะกายมีจุดประสงค์ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ต้องบอกว่าเป็นกีฬาเพื่อสุขภาพที่ดีมากๆ เพราะจะทำให้รูปร่างและกล้ามเนื้อสวย อัตราการเผาผลาญอาหารสูง และกระดูกแข็งแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก ส่วนพวกที่เข้ามาฝึกฝนเพื่อเข้าแข่งขันจะต้องมีอิทธิบาท 4 เลย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ถ้านักกีฬาคนไหนมีครบทั้ง 4 ข้อ แล้วต้องใช้ระยะเวลาระดับหนึ่ง ไม่ใช่อยากประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น หากควบคุมได้ก็จะไปถึงระดับที่กำหนดไว้”
การมีเทรนเนอร์ส่วนตัว (Personal Trainer) ก็น่าจะช่วยให้มีภูมิคุ้มกันสำหรับการเกิดโรคไบกอร์เร็กเซียได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้คำปรึกษาทางด้านการออกกำลังกายแล้ว ยังมาคอยช่วยจัดระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตให้อีกด้วย ดร.สิทธิ มองว่า
“ตอนนี้มีเทรนเนอร์เพาะกายหรือออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อเยอะมาก บางคนก็มีความรู้บ้างไม่มีความรู้บ้าง ก็ต้องลองเสี่ยงกันดูว่าได้เทรนเนอร์ดีหรือไม่ดี ถ้าได้เจอเทรนเนอร์ที่ดีมีความรู้ได้เรียนมามีประสบการณ์ในการฝึกจริงๆ ก็จะมีทัศนคติเกี่ยวกับการเพาะกายที่ถูกต้องไปด้วย คนที่มาเรียนกับผมจะต้องถูกสอนเรื่องโครงสร้างของร่างกายก่อน ปรับทัศนคติเรื่องของความพอใจ ความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจและไม่มีความอยากที่จะสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อเกินข้อจำกัดของร่างกายที่แท้จริง”


