เที่ยวจนได้เรื่อง ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์
จะมีสักกี่คนที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวเจอลิสต์สถานที่ที่ต้องไปก่อนตาย แล้วลุกขึ้นไปตามหาจริงๆ จี๊ป-ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์
จะมีสักกี่คนที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวเจอลิสต์สถานที่ที่ต้องไปก่อนตาย แล้วลุกขึ้นไปตามหาจริงๆ จี๊ป-ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บัญดารา กรุ๊ป เป็นหนึ่งคนที่ทำแบบนั้น เพราะนิสัยรักถึงขั้นคลั่งไคล้การเดินทางมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้มีลูกสาวอายุ 8 ขวบแล้ว ก็ยังเดินทางไม่หยุด และเหมือนจะไม่มีอะไรมาฉุดความต้องการด้านนี้ของเธอ เพราะล่าสุดเธอทำสำเร็จไปอีกข้อกับทริป Inside Volcano ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ประสบการณ์นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังปากปล่องภูเขาไฟแล้วต่อกระเช้าลงไปยังก้นบึ้งที่ดับสนิท เป็นการพิชิตข้อจำกัดของมนุษย์สู่ใต้พิภพที่น่าพิศวง นอกจากนี้เธอยังเคยถูกปล้น! ใจกลางเมืองอิตาลี แต่เคราะห์ดีที่เสียแค่ทรัพย์สิน มิใช่ลูกสาวตัวน้อยที่เป็นเป้าหมายแท้จริงของกลุ่มโจร
เรื่องราวหลายรสชาติเกิดขึ้นในชีวิตของนักเดินทางคนนี้ทั้งที่น่าประทับจิตและสะเทือนใจ ซึ่งล้วนแต่ไม่มีวันลืม
เช็กลิสต์ 100 ที่ที่ต้องไปก่อนตาย
ก่อนออกเดินทางจี๊ปจะเปิดหนังสือโลนลี่แพลนเน็ตเพื่อดูว่ายังมีสถานที่ไหนยังไม่เคยไป ตามลิสต์ 100 สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย (100 things to do before you die) โดยจะเลือกจุดหมายที่สามารถพาลูกสาว “น้องพราว” ไปด้วยได้ ครั้งล่าสุดเธอเลือกกิจกรรม Inside Volcano หรือการเข้าไปในภูเขาไฟ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีขึ้นเฮลิคอปเตอร์แทนการปีนเขา
“เฮลิคอปเตอร์จะไปส่งใกล้ๆ ปากปล่อง เราจะลงที่บ้านหลังเล็กๆ เพื่อใส่อุปกรณ์เข็มขัดนิรภัยที่มีห่วงข้างหนึ่งติดกับราวเหล็กตลอดเวลา เราต้องเดินขึ้นเขาสักระยะไปยังจุดลงกระเช้าที่จะพาลงไปข้างในภูเขาไฟ” จี๊ปเล่า
ภูมิประเทศไอซ์แลนด์นับว่าเป็นประเทศแปลก เพราะมีทั้งธารน้ำแข็งและภูเขาไฟอยู่ด้วยกัน ทั้งเกาะมีภูเขาไฟจำนวนมากทั้งที่ยังแอ็กทีฟและดับสนิท ซึ่งแน่นอนว่าลูกที่เธอลงไปนั้นไม่ปะทุอีกแล้ว
“ในปล่องภูเขาไฟไม่มีเสา ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลยเพื่อไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเราจะยืนอยู่ในกระเช้าที่ยึดกับเครนสูง จากนั้นมันจะค่อยๆ หย่อนเราลงไปเหมือนหย่อนเชือก ทำให้มีแกว่งเล็กน้อย” น้ำเสียงของจี๊ปยังแฝงความตื่นเต้น และยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเธอแตะถึงพื้น
“ตอนแรกในความคิดของเราคือด้านในภูเขาไฟจะเป็นสีดำสนิท แต่สิ่งที่เห็นคือสีสันของหิน เพราะหินมันมีแร่ธาตุพอเจอความร้อนจากแมกมาเข้าไปจึงเกิดเป็นสีต่างๆ ทั้งสีส้ม สีแดง สีฟ้า สีชมพู สีเขียว มันไม่ใช่ถ้ำที่เราเข้าใจ เหมือนเราอยู่ในถ้ำสายรุ้ง”
ความสวยงามใต้พิภพความลึกประมาณตึก 30 ชั้น สูงกว่าตอนที่เธอไปกระโดดจัมพ์ที่นิวซีแลนด์ ทำให้เธอและครอบครัวต่างตะลึงงันไปกับภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ (ทริปนี้ลูกสาววัย 8 ขวบของเธอลงไปด้วย)
จี๊ปเคยไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เธอเจาะจงขึ้นเหนือไปยังเมืองเล็กๆ ชื่อ อคูเรย์ริ (Akureyri) เป็นเมืองท่องเที่ยวประมาณเชียงใหม่บ้านเรา อากาศดี และมีประชากรอยู่เพียง 2 หมื่นคน เธอเล่าว่า ตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์มีส่วนที่เรียกว่า Golden Circle เป็นพื้นที่ที่มีทั้งอุทยานแห่งชาติ ธารน้ำแข็ง น้ำตก ภูเขาไฟ แต่ทางตอนเหนือที่เธอไปเยือนคราวนี้มี Diamond Circle ซึ่งให้อีกอารมณ์หนึ่ง
จากเมืองอคูเรย์ริสามารถนั่งรถไปเมืองฮูซาวิค (Husavik) ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงของวาฬ ซึ่งเธอตั้งใจมากที่จะไปดูวาฬหลังค่อมหรือวาฬฮัมแบ็กสะบัดหางเหนือน้ำ
“เรือที่ไปดูวาฬไม่ใช่เรือสปีดโบต แต่เป็นเรือโบราณที่ใช้ผ้าวาฬ ล่องออกไปรอวาฬนิ่งๆ เงียบๆ จี๊ปว่าการดูวาฬต้องใช้ความอดทนนะ เพราะต้องนั่งอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งตอนแรกเกือบจะถอดใจแล้วเพราะคิดว่าวันนั้นไม่เห็นแน่ๆ รอไป 3 ชั่วโมงกับ 18 นาทีแล้วก็ยังไม่เห็นอะไร ลูกสาวก็นั่งดูฟ้าดูน้ำไปเรื่อย แต่สุดท้ายวาฬก็ขึ้นมา ตอนนั้นเราตื่นเต้นกันมาก เพราะมันตัวใหญ่มาก แล้วก็ยกหางขึ้นมาตีน้ำเหมือนในหนัง ชอบมาก” จี๊ปลากเสียงยาว...แสดงว่าชอบมากจริงๆ
จากนั้นเธอยังไปแช่น้ำแร่ที่ทะเลสาบมีวา มีน้ำแร่เป็นสีเขียว โคลนสีดำที่สามารถพอกหน้าพอกตัวได้ (Myvatn Nature Baths) แล้วก็ไปเยือนน้ำตกเดติฟอสส์ (Dettifoss) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ซึ่งความใหญ่ของน้ำตกจะดูที่พลังน้ำ “เราต้องเดินตะลุยไปยังหน้าผาเพื่อไปยังตัวน้ำตก ซึ่งเมื่อปีที่แล้วจี๊ปเคยไปน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) ที่ใหญ่มากทางตอนใต้ เลยอยากตามหาน้ำตกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ” นอกจากนี้เธอยังอยากไปเยือนน้ำตกขนาดใหญ่ที่แอฟริกาใต้ แต่ต้องรอให้ลูกสาวโตก่อนแล้วไปพร้อมกัน
มากไปกว่านั้น จี๊ปและครอบครัวยังไม่หยุดระทึกใจกับการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมเมืองเรคจาวิค (Reykjavik) เมืองหลวงของไอซ์แลนด์เป็นการทิ้งท้ายทริปไอซ์แลนด์ 8 คืนกับทัศนียภาพงดงามทั้งน้ำแข็งและภูเขาไฟ
ฟังจากเรื่องเล่ามากมายดูเหมือนจะเป็นทริปทรหด แต่เธอยืนยันว่า ไอซ์แลนด์สบายสุดๆ “ถ้าใครคิดว่าการไปไอซ์แลนด์ต้องเดินป่าแบกเป้ไปชมธรรมชาติของเขา บอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะไอซ์แลนด์สบายสุดๆ อาหารเลิศ คนไอซ์แลนด์กินอาหารญี่ปุ่นเพราะมีคนญี่ปุ่นอยู่ที่นั่นเยอะมาก ประเทศนี้เป็นที่ที่มหาเศรษฐีอยู่ อย่างตอนจี๊ปไป บิล เกตส์ ก็อยู่ที่นั่นด้วย เขามีบ้านที่นั่น มีเรือยอชต์ที่นั่น” จี๊ปไปเยือนไอซ์แลนด์เป็นครั้งที่ 2 แล้วก็จริงแต่ก็ยังทึ่งกับธรรมชาติที่นั่น
การท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ของไม่ถูก และควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวด้วยห้องพักเพื่อรักษาธรรมชาติไว้ จึงจะเห็นว่าไม่มีโรงแรมเชนต่างประเทศอยู่ในไอซ์แลนด์เลย เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ให้ขยายโรงแรมรับนักท่องเที่ยว
พาลูกเที่ยว
จี๊ปเชื่อว่าการเดินทางแต่ละครั้งต้องมีเหตุผล เธอจึงพาลูกไปเที่ยวเสียตอนนี้ ตอนที่ยังมีธรรมชาติก่อนทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
“จี๊ปคิดว่าในวันที่น้องพราวอายุเท่าแม่ ไอซ์แลนด์จะไม่สวยเท่านี้แล้ว จี๊ปยังจำได้ตอนไปดำน้ำที่พีพีกับพี่ธรณ์ (ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์) อายุ 16 ภาพท้องทะเลในวันนั้นกับวันนี้มันเหมือนหนังคนละม้วน มันไม่มีปลาในทะเล มันไม่มีปะการังสีฟ้าแดงเหลืองเขียวอีกแล้ว เหมือนกันเลยค่ะ จี๊ปพาลูกไปดูธรรมชาติเพราะเรารอเขาโตไม่ได้ และการไปดูธรรมชาติที่ดีๆ มันสอนเขานะ สอนว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เราตัวเล็กนิดเดียว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้หรอก”
เธอยกตัวอย่างจากทริปนี้ น้องพราวได้เรียนรู้ว่า ทำไมพลังน้ำที่สร้างกระแสไฟฟ้าได้จากการเห็นน้ำตก ความร้อนใต้ดินทำให้เกิดไอน้ำพวยพุ่งออกมาได้อย่างไร “การพาลูกไปเที่ยวไอซ์แลนด์ มันเหมือนได้สอนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องพลังงาน จี๊ปไม่ใช่คนสายวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถอ่านหนังสือวิทย์ฟิสิกส์แล้วมาอธิบายให้พราวฟังได้ แต่พี่สามารถพาพราวไปดูแล้วเล่าให้เขาฟัง อธิบายว่าจากน้ำกลายมาเป็นไฟได้อย่างไร แล้วพอเขากลับไปจะกลับไปเล่าให้เพื่อนฟังได้ เพราะเขาเข้าใจ เขาเคยเห็นของจริงมาแล้ว”
ถ้าไม่นับประเทศฝั่งยุโรปที่ต้องติดแม่ไปทำงานปีละ 2 ครั้งอยู่แล้ว จี๊ปยังพาลูกสาวไปตะลุยประเทศแปลกๆ อย่างแอฟริกาใต้ (เคยไปตอน 4 ขวบ) จิวไจ่โกว ประเทศจีน ที่เธอต้องกระเตงลูกสาวขึ้นเขา หรือบุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย น้องพราวก็เคยไปมาแล้ว
“จี๊ปว่าเด็กทุกคนชอบไปเที่ยวเหมือนกันหมด แต่พราวเป็นผู้ใหญ่พอสมควร อาจจะเพราะการเดินทางหรือการตามแม่ไปทำงานด้วยตลอดเวลา ทำให้พราวช่วยตัวเองในทุกๆ อย่าง จี๊ปไม่ต้องจัดกระเป๋าเดินทางให้ลูก ตื่นเช้ามารู้ว่าต้องลงไปกินข้าวที่ห้องอาหารเช้า และทำให้พราวเป็นเด็กรักสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาเห็นโลกมาเยอะ เช่น พราวจะไม่ใช้ขวดพลาสติก เป็นสิ่งที่จี๊ปไม่ได้บอกแต่เขาทำเอง”
ถ้าเทียบกับตัวจี๊ปเอง เมื่อมองกลับไปสมัยเด็ก เธอกับลูกมีความเหมือนและไม่เหมือน อย่างเธอต้องเดินทางบ่อยเพราะติดตามพ่อ (ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีต รมช.และปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ไปทำงาน จึงได้สะสมความรู้รอบตัว จุดนี้ลูกสาวของเธอก็เป็นเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่โลกสมัยนี้มีไอแพด
“ตอนเด็กๆ ถ้าพ่อจะไปไหนจะโยนหนังสือให้เล่มหนึ่งแล้วต้องอ่านให้จบ แต่เด็กรุ่นพราวการอ่านหนังสือโลนลี่แพลนเน็ตให้จบทั้งเล่มเป็นไปไม่ได้ ที่หนักกว่านั้นคือใช้แผนที่กระดาษไม่เป็น แต่ใช้กูเกิลแมพเป็น ถ้าถามว่าพราวเหมือนจี๊ปไหม น่าจะเหมือนตรงที่พราวต้องค้นคว้าเพราะแม่ไม่ช่วย แต่พราวไม่สามารถอ่านหนังสือหนาๆ ที่มีตัวอักษรเยอะๆ ได้ เขาจะเสิร์ชข้อมูลจากกูเกิลและหาภาพประกอบไปด้วยถึงจะสนใจ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่พาลูกไปดูของจริงนะ ต่อไปเขาจะไม่อยากไปเพราะในกูเกิลมีทุกอย่าง” แม่นักเดินทางจึงต้องควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อให้ลูกสนใจสภาพแวดล้อมจริงที่เธอตั้งใจพาไปสัมผัส
แก๊งปล้นอิตาลี
จี๊ปเดินทางมาตลอดชีวิตแต่ไม่เคยถูกขโมยของเลยสักชิ้น จนกระทั่งเจอกับตัวที่มิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งไม่ใช่แค่ขโมยแต่มันคือการปล้น!
เหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มต้นที่เธอ สามี และลูกสาว พร้อมเพื่อนๆ ขับรถไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์อียิปต์ที่เมืองทูริน ใกล้ๆ มิลาน ที่นั่นน่าสนใจเพราะเป็นพิพิธภัณฑ์อียิปต์นอกเมืองไคโรที่ใหญ่ที่สุด พอดูเสร็จก็ต่อด้วยการช็อปปิ้งซึ่งใช้เวลานานถึงประมาณ 2 ทุ่ม แล้วขับรถกลับ
“ตอนนั้นจี๊ปขับรถมาถึงสี่แยกใจกลางเมือง ถ้าเทียบก็อยู่ประมาณสี่แยกอโศกบ้านเรา ไม่เปลี่ยวเลย แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนหน้ารถแล้วชี้ไปที่ล้อบอกว่ายางแตก พูดเป็นภาษาอิตาเลียน จี๊ปเลยบอกสามีว่า อย่าจอดข้างทาง เพราะมันอันตรายและเชื่อใจผู้ชายคนนั้นไม่ได้ เลยขับต่อไปสรุปยางแตกไปถึงยางในจนขับต่อไปไม่ได้ เราเลยจอดรถในซอยเล็กๆ ที่มีร้านอาหาร แล้วลงไปเปลี่ยนล้อ ขณะนั้นจี๊ปเห็นผู้ชายคนเดิมยืนอยู่!” ถ้าเป็นในหนังคงเป็นแนวระทึกขวัญ
“จี๊ปเลยพาน้องพราวที่นั่งอยู่หลังรถลงมา พาน้องพราวและของที่ซื้อมาทั้งหมดไปไว้ที่รถเพื่อนอีกคันที่ตามมาพอดี แล้วก็วิ่งกลับไปที่รถตัวเอง ถามพี่เอก (สามี) ว่าแล้วกระเป๋าสตางค์จี๊ปล่ะ? เพราะจี๊ปวางทิ้งไว้ที่เบาะหลังรถ จึงรู้ตัวทันทีว่าถูกปล้นแน่นอน”
เหตุการณ์กำลังงุนงงเพราะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ปล้นใดๆ ทว่ากระเป๋าสะพายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอจึงไปแจ้งความและได้ทราบจากตำรวจว่า เจอแก๊งโจรเข้าให้แล้ว “แก๊งนี้เป็นโจรมืออาชีพมี 4 คน คนหนึ่งคือชายคนแรกที่ตามมาแล้วทำเป็นคุยกับสามี ชายอีกคนทำเป็นถามทางที่รถของเพื่อนด้านหลัง อีกคนเป็นชายจูงสุนัขเพื่อให้ทุกคนจ้องไปที่หมา และคนที่สี่เป็นคนปฏิบัติการขโมยของในรถ ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันภายใน 1 นาที และแนบเนียนมากเพราะประตูรถทุกด้านปิดหมด แต่โจรสามารถเปิดประตู หยิบของ และปิดประตูได้โดยที่ไม่มีใครเห็น”
สรุปแล้วสิ่งที่หายไป คือ กระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรเครดิตและพาสปอร์ตจี๊ป 1 เล่ม ซึ่งทำให้วันเที่ยวที่เหลือยุ่งยากมาก เธอเล่าถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากบัตรเครดิตและพาสฟอร์ตหายคือ ต้องโทรศัพท์ไปอายัดบัตรที่ประเทศไทย จากนั้นไปแจ้งความในเมืองที่เกิดเหตุ และการออกพาสปอร์ตใหม่ต้องทำที่สถานทูตเท่านั้น ไม่สามารถออกที่สถานกงสุลได้
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่า คือ ขบวนการที่เธอเจอมีเป้าหมายหลัก คือ ลักขโมยเด็ก หมายความว่าถ้าตอนนั้นน้องพราวยังนั่งอยู่เบาะหลังก็อาจจะถูกอุ้มไปเพียงชั่วพริบตา “เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดบนรถไม่ใช่กระเป๋าสตางค์ แต่คือเด็ก” จี๊ปเล่าด้วยว่า ในวันเดียวกันมีเหตุการณ์คนไทยถูกขโมยอีก 14 ราย จึงเป็นอุทาหรณ์ว่าเวลาไปเที่ยวอิตาลีอย่าแต่งตัวล่อตาล่อใจ อย่าใช้ของแบรนด์เนม เวลาช็อปปิ้ง
เสร็จอย่าใส่ถุงร้านนั้น แต่ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าออกกำลังกาย และที่สำคัญนักท่องเที่ยวควรทำประกันการเดินทางที่ครอบคลุมการโจรกรรมด้วย
“เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอโจรแบบเห็นหน้า” ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดแล้วในชีวิตการเดินทางของเธอ ส่วนเรื่องคดีความก็เงียบหายไปไม่ต่างจากกระเป๋าใบนั้น
การเดินทางบทต่อไป
จี๊ปวางแผนไว้ว่าปีหน้าจะพาน้องพราวไปเที่ยวเมืองพาตาโกเนีย (Patagonia) ทางตอนใต้ของประเทศอาร์เจนตินา หรือดินแดนทางใต้สุดของโลก หากสามารถลางานได้ก็จะลาพักร้อนไปยาวๆ 2 สัปดาห์ และอีกแห่งที่คนไทยไปกันบ่อยแล้วคือ หมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์ เพราะต้องรอน้องพราวโตกว่านี้ตามเงื่อนไขของการท่องเที่ยวแล้วค่อยไปว่ายน้ำกับกิ้งก่าด้วยกัน
แม่จี๊ปกำลังส่งต่อเรื่องราวที่ไม่ลืมไปยังลูกสาวสุดที่รัก เหมือนกับตัวเธอที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่รักสิ่งแวดล้อมและรักการเดินทาง จนกลายมาเป็น จี๊ป ศิริธร นักบริหารและนักการตลาดที่ใช้ชีวิตอย่างสุดขีดเช่นนี้


