กาหลมหรทึก แจ้งเกิดนักเขียน ชื่อ ปราบต์
โดย...นกขุนทอง
โดย...นกขุนทอง
เขียนหนังสือมาแล้วหลายเรื่อง วนๆ เวียนๆ อยู่ในแวดวงน้ำหมึกมาก็เป็น 10 ปี แต่ชื่อชั้น “ปราบต์” นามปากกาของ “ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์” เพิ่งเป็นที่รู้จักและถูกจับตามอง ไม่ใช่แค่เพียงว่าผลงาน เรื่อง “กาหลมหรทึก” ได้เป็นหนึ่งในนวนิยายรอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปี 2558 เท่านั้น แต่เพราะเนื้อหากลวิธีการคิดการเขียนนั้นต่างหากที่น่าสนใจ
ผลงานล่าสุดของปราปต์แนวสืบสวนสอบสวน 2 เรื่อง คือ กาหลมหรทึกและนิราศมหรรณพ ได้ผ่านเข้ารอบลองลิสต์ซีไรต์ ยิ่งทำให้เขาเป็นที่สนใจในกลุ่มนักอ่าน หากแต่เจ้าตัวรู้สึกกดดัน
“คือดีใจมาก่อน แต่จากนั้นก็เริ่มกดดัน เครียด จิตตก แล้วค่อยดำดิ่งลงจนถึงขั้นปิดเฟซบุ๊กหนีผู้คน ไม่อยากพูดเรื่องเขียนหนังสือกับใครและไม่อยากเขียนหนังสืออีก คือตอนนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวว่าคนอ่านจะผิดหวัง เรื่องใหม่จะแย่ไปกว่าเดิม แต่พออยู่กับตัวเองเงียบๆ สักพักก็กลับมาคิดได้และเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองเขียนหนังสือเพื่ออะไร ผมนึกย้อนกลับไปช่วงเกือบสิบปีก่อนที่ยังดันทุรังเขียนตลอดทั้งที่ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ได้คำตอบว่าที่ยังเขียนตลอดมาเป็นเพราะว่าผมรักมัน เพราะฉะนั้นถึงวันนี้ตัวเองก้าวมาไกลจากจุดเดิมตั้งเท่าไหร่ ทำไมถึงจะล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองรักไปง่ายๆ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนจะด่า จะเลิกอ่าน หรืออะไรก็ตาม ถ้าผมยังรักมัน ผมก็จะเขียนไปอย่างนี้ละครับ”
เหลือเพียง กาหลมหรทึก ที่ได้เข้าไปชิงรางวัลซีไรต์ “สองเรื่องนี้มีบางอย่างที่คล้ายกัน คือเป็นการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องไปตามสถานที่จริงต่างๆ และแฝงเรื่องประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทยด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีความต่างมากๆ โดยเฉพาะอารมณ์ของเรื่อง จุดเด่นของกาหลมหรทึกเป็นพล็อตที่ค่อนข้างแปลก ซับซ้อน มีเส้นเรื่องชัด และการลงลึกถึงอารมณ์มนุษย์แบบเข้มข้นกว่า ขณะที่นิราศมหรรณพให้ความสำคัญกับแก่นเรื่องและสารที่จะบอกคนอ่านมากกว่า โดยส่วนตัวผมชอบและเชียร์นิราศมหรรณพมาตลอดครับ ในมุมมองของคนที่สร้างมันขึ้นมา ผมผูกพันมากกว่า กาหลมหรทึกใช้เวลาเขียน 3 เดือน เหมือนท้องเสียถ่ายออกมาปู้ดเดียวหาย แต่นิราศมหรรณพเขียนนาน 6 เดือน อารมณ์เหมือนท้องผูก ต้องเบ่งแล้วเบ่งอีก หลายๆ ครั้งตอนเขียนนี่รู้สึกเหมือนคนใกล้จมน้ำจะรอดมิรอดแหล่ กว่าจะตะเกียกตะกายผ่านมันมาได้เล่นเอาเกือบตาย ตอนที่ทราบผลการตัดสินรอบชอร์ตลิสต์แล้วกลายเป็นนิราศมหรรณพปิ๋ว ผมก็แอบใจหายอยู่พักใหญ่เลยครับ”
ปราปต์เขียนกาหลมรทึกเพื่อส่งประกวดรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด จากที่เขาคิดว่าการเป็นนักเขียนล้มเหลวมาตลอด “มันมาถึงช่วงวัยที่เพิ่งเริ่มได้เลื่อนตำแหน่ง มีแก่นสารในชีวิตกันไปคนละอย่าง แต่เรารู้สึกว่าเฮ้ยเราทำบ้าอะไรอยู่วะ และเริ่มรู้สึกเหมือนถูกสาปให้มาชอบงานที่ไม่สามารถสร้างความงอกเงยอะไรในชีวิตได้เลยอย่างการเขียนหนังสือ”
แต่แล้ววันนี้กาหลมหรทึกก็ออกดอกส่งผลให้เขาได้ชื่นใจ ปราปต์เล่าถึงการสร้างงานว่า “ปีนั้นนายอินทร์รับเรื่องสืบสวน ผมมีไอเดียเกี่ยวกับกลโคลงพอดี ก็เลยหยิบมานำเสนอเพราะรู้สึกว่ามันเป็นของแปลกที่คนปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักกัน แถมน่าจะเอามาทำเป็นรหัสคดีแนวเดียวกับรหัสลับดาวินชีได้ด้วย อาศัยความชอบมากกว่าเพราะแทบจะไม่มีส่วนไหนในเรื่องที่ผมถนัดเลย (หัวเราะ) ผมชอบอ่านคินดะอิจิ ชอบดาวินชีโค้ด ชอบเชอร์ล็อก โฮล์มส์ แล้วก็ชอบเรื่องจิตกาธานของคุณสรจักรมากๆ ตอนเขียนก็เอาส่วนที่ชอบในงานหลายๆ ชิ้นพวกนี้มารวมกันปั้นด้วยวิธีของเราเอง เขียนไปก็เหมือนลองผิดลองถูกไปเพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยเขียนเรื่องสืบสวนแนวจริงจังอย่างนี้ ไม่ถนัดประวัติศาสตร์ ไม่มีความรู้เรื่องใดๆ เกี่ยวกับตำรวจ ตอนแรกเข้าใจว่าแม่นฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพ แต่พอเขียนไปใกล้จบดันพบว่าตัวเองเข้าใจผิดมาตลอด ก็ต้องพยายามกลั้นเสียงกรี๊ดไว้แล้วกลับไปแก้ใหม่อะไรอย่างนี้ครับ”
ความน่าสนใจอีกจุดของกาหลมหรทึก คือ โคลงกลอน “ตัวกลโคลงเป็นไอเดียตั้งต้นของเรื่อง พล็อตทุกอย่างก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อหุ้มและรองรับการนำเสนอกลโคลงนี้ทั้งหมดเลย คือด้วยความที่ผมเองเป็นคนไม่ได้คลั่งไคล้ในเรื่องของศิลปวัฒนธรรมอะไรมากด้วยมั้ง พอเจออะไรแบบนี้เลยรู้สึกว่าเฮ้ยมันน่าทึ่งจัง เหมือนตอนไปวัดโพธิ์ครั้งแรกก็รู้สึกว่าเฮ้ยมันขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมเราไม่เคยมาเลย อารมณ์พวกนี้มันยิ่งทำให้อยากเขียน อยากทำให้คนอ่านรับรู้ ตอนเขียนก็แอบหวังว่าเขาน่าจะรักและภาคภูมิใจในของพวกนี้แบบที่เรารู้สึกนะ”
เรื่องนี้แบ่งการทำงานในส่วนของข้อมูลเป็น 2 มิติหลักๆ คือ สถานที่กับเวลา “ในส่วนของสถานที่มันมีหัวใจหลักอยู่ที่สถานที่หนึ่ง จากนั้นก็ต่อเติมแผนผังตามกลโคลงเพื่อหา
สถานที่ถัดไป ตอนทำก็หมุนอยู่หลายทีเพื่อจะได้สถานที่น่าสนใจพร้อมกันทุกจุด เรื่องจะได้ไม่น่าเบื่อในส่วนของเวลา เนื่องจากตั้งใจว่าจะเขียนแนวพีเรียดก็เลยเริ่มจากหาจุดมาร์กในช่วงใดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ก่อน พอมาร์กได้ก็ค่อยๆ หาเหตุการณ์แวดล้อมต่อว่ามีอะไรเด่นๆ ที่น่าเอามาพูดถึงบ้าง ช่วงนั้นก็จะมีเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำท่วมครั้งใหญ่ กบฏบวรเดช อักขรวิบัติ พวกนี้ก็เอามาสรุปเป็นไทม์ไลน์ไว้และไปหาข้อมูลในหอจดหมายเหตุด้วยเพื่อให้เห็นชัดยิ่งขึ้นว่าในวันที่ต่างๆ มีอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ เพราะเหตุการณ์ในเรื่องต้องการความละเอียดในส่วนนี้มากพอสมควร จากนั้นก็เริ่มเอาทั้งเวลาและสถานที่มารวมกัน หาว่าแต่ละสถานที่นั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างและสมัยก่อนมีสภาพเป็นยังไง มีทางหนีทีไล่ยังไงบ้าง”
เมื่อมาทางเขียนแนวสืบสวนสอบสวนแล้วเริ่มถนัดมือ ผลงานที่จะได้เห็นกันในอนาคตอันใกล้ คือ “ลายสิงห์” เป็นแนวจักรๆ วงศ์ๆ สืบสวน และอิงประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา
“พอนึกภาพรวมกันออกไหมครับ (หัวเราะ) คือผมได้แรงบันดาลใจจากเปาบุ้นจิ้นและตี๋เหรินเจี๋ย รู้สึกว่าทำไมงานจักรๆ วงศ์ๆ ของไทยมีแต่อารมณ์แนวนิทานแฟนตาซีสำหรับเด็ก ไม่มีเรื่องหนักๆ เรื่องสืบสวนที่พอจะมีกลิ่นประวัติศาสตร์เจือเข้าไปบ้างเลย ตอนที่เขียนนิราศมหรรณพว่าจะตายแหล่มิตายแหล่แล้ว เรื่องนี้จะตายหนักกว่าเดิมอีกครับ เขียนมา 8 เดือนแล้วยังไม่เสร็จสักที ทั้งที่คงไม่ยาวไปกว่ากาหลมหรทึกมากนักก็ยังไม่รู้ว่าตกลงจะออกมาเป็นยังไง แล้วคนอ่านจะชอบกันหรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวผมก็ชอบมันนะ เป็นงานที่มากกว่าแปลกครับออกแนวประหลาด (หัวเราะ)”
สุดท้ายปราปต์บอกอนาคตของตัวเองไว้ว่า “ผมอยากรักษาความรู้สึกและความตั้งใจเดิมในการเขียนเอาไว้ให้ได้มากที่สุดครับ คืออยากจะเขียนด้วยเหตุผลว่าเรารักและอยากอ่านมันเป็นหลัก เพราะหลังๆ ได้ฟังเสียงทั้งชมทั้งตำหนิแล้วก็มีหลายครั้งที่เขว เวลาไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วมันรู้สึกไม่มีความสุขเหมือนเดิม”


