สงครามน้ำลาย
เปิดศึกฉะกันอย่างเผ็ดร้อน จนกลายเป็น “สงครามน้ำลาย” และดูท่าจะ “บานปลาย” เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดย...แจนยูอารี ภาพ : นนทณากรณ์ เทพสา /เสกสรร โรจนเมธากุล
เปิดศึกฉะกันอย่างเผ็ดร้อน จนกลายเป็น “สงครามน้ำลาย” และดูท่าจะ “บานปลาย” เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อดีตนางงามเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 “น้ำเพชร-สุณัณณิการ์ กฤษณสุวรรณ” กับไฮโซสุดสวย “ม่านฟ้า-อรปภัตร จันทรสาขา” ยังใช้วิธี “ตอบโต้” กันผ่านสื่อแบบไม่ลดราวาศอก
จากประเด็นไฮโซม่านฟ้าถูกกล่าวหาว่ายกพวกรุมตบน้ำเพชรในห้องน้ำ ณ ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ จนอีกฝ่ายต้องวิ่งโร่เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่อีกฝ่ายก็ออกโรงตอกกลับไม่เคยยกพวกรุมตบและไม่ได้ข่มขู่ พร้อมทั้งบอกมีหลักฐานเช่นกัน
มึนหนักก็คงหนีไม่พ้นผู้อ่านและผู้ชม โอ้ละแม่!!! ตกลงอะไร ยังไง ใครตบใคร ใครไม่ได้ตบใคร พูดให้ชัด พูดให้เคลียร์ อ่านข่าวเป็นวรรคเป็นเวร ติดตามไมค์จ่อปาก น่าเวียนหัวยิ่งกระไร เพราะสองนางก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ถึงข้อเท็จจริง
จะว่าไปสงครามน้ำลายในหมู่คนบันเทิงนี่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนกลายเป็น “เรื่องชินชา” ของคนเสพข่าว บ่อยครั้งเข้าบางคนก็ถึงขั้น “เอือมระอา” เมื่อเจอข่าวแบบนี้ และที่แย่ไปใหญ่ นั่นก็เพราะประเด็นหลักคือ “การตบกัน” (ขอสลบแพร้บ!!!)
ตบกันเพื่ออะไร สาเหตุชัดๆ ไม่มีการระบุ ขัดผลประโยชน์ แย่งผู้ชาย อีกฝ่ายสะดุดชายกระโปรงไปชนอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ หรือเพราะหมั่นไส้ ในฐานะเธอสวยกว่า ดังกว่า และรวยกว่า ถ้า 3 สาเหตุหลัง คนที่กระทำก็เข้าขั้น “จิตป่วย”
แต่จะด้วยเหตุผลใด จนนำพาไปสู่การทำร้ายร่างกาย ก็ไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด ยิ่งเมื่อเกิดปัญหาแล้วกลับต้องมาตอบโต้กันผ่านสื่อ วันนี้ฝ่ายแรกออกมาให้ข่าว พรุ่งนี้ฝ่ายหลังออกมาให้ข่าว ต่างคนก็ต่างโต้กันไปมา แล้วเมื่อไหร่จะจบและพบทางออก
ด้วยการเป็นบุคคลมีชื่อเสียง การใช้พื้นที่สื่อตอบโต้ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ หรือให้สื่อเป็นพยานก็ตามแต่ ย่อมสามารถทำได้ เพราะตราบใดที่คุณ “ไม่ยอมเปิดปาก” ให้สื่อสัมภาษณ์ “จรรยาบรรณวิชาชีพสื่อ” ก็มิอาจนำคำพูดเหล่านั้นมา “เผยแพร่” “ตีพิมพ์” หรือ “ออกอากาศ” ได้
เว้นเสียแต่คุณมีนัยแอบแฝงและซ่อนเร้นโดยการอาศัยพื้นที่สื่อ แย่งชิงพื้นที่ข่าวจนชนะเลิศ เพื่อหวังผลอะไรบางอย่างกับการออกมาตอบโต้ผ่านสื่อ นั่นก็จะน่าละอายยิ่งนัก เท่ากับว่าคุณได้ทำลาย “คุณค่าตัวเอง” ไปกับประเด็นที่แทบหา “คุณค่าข่าว” ไม่เจอเลยเสียด้วยซ้ำ
การนำเสนอ “ข่าวขยะ” ที่ขนาดคนทั่วไปยังมองไม่เห็น “คุณค่าของการเป็นข่าว” สักนิด นั่นก็เท่ากับคุณได้ทำลาย “คุณค่าความเป็นสื่อ” ลงอย่างไม่เหลือหรอ
เอาเข้าจริง การตอบโต้กันผ่านสื่อนั้นอาจเป็นเพียงวิวาทะที่ไม่ก่อประโยชน์อันใดต่อทั้งสองฝ่าย แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่ากับว่าแล้วประชาชนคนไทยที่เสพข่าวจะได้สาระอะไรจากที่ทั้งสองฝ่ายออกมาตอบโต้กันผ่านสื่อ เพียงเพราะเหตุตบกันในห้องน้ำ
เป็นไปได้และจะดีงามมาก ถ้าทั้งสองฝ่าย “หยุด” ตอบโต้กัน จากนั้นก็ “หันหน้า” และ “ไกล่เกลี่ย” ด้วยเหตุผลและหลักฐาน ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่ใช่ “สู้กัน” ด้วย “น้ำลาย” บนพื้นที่สื่อ


