คลองต้ายุ่นเหอ อภิมหาโครงการดีๆ ของฮ่องเต้จอมโหด
คนรุ่นหลังหันหลังกลับไปมองสุยหยางตี้ จะเห็นได้ว่าสุยหยางตี้คือฮ่องเต้ที่มีวิสัยทัศน์และคุณูปการในการพัฒนา
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
คนรุ่นหลังหันหลังกลับไปมองสุยหยางตี้ จะเห็นได้ว่าสุยหยางตี้คือฮ่องเต้ที่มีวิสัยทัศน์และคุณูปการในการพัฒนาแผ่นดินจีนอย่างใหญ่หลวง ก็เพราะอภิมหาโครงการอันดับหนึ่งของสุยหยางตี้ ขุดคลอง “ต้ายุ่นเหอ”
คลองต้ายุ่นเหอตัดจากเหนือลงใต้ เชื่อมบรรดาแม่น้ำใหญ่น้อยของจีนที่ไหลจากทางตะวันตกไปทางตะวันออก ความยาวรวมของคลองขุดนี้ยาวทั้งสิ้น 2,500 กิโลเมตร เป็นคลองขุดโดยแรงงานมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลก
จินตนาการง่ายๆ ว่าจากแม่สาย เชียงราย ถึงเบตง ยะลา มีระยะทางลากตรงประมาณ 1,650 กิโลเมตร แล้วคลองต้ายุ่นเหอจะยาวขนาดไหน
สภาพการรับรู้ภูมิศาสตร์ของชาวจีนสมัยโบราณแบ่งเป็นเหนือกับใต้ เหนือเป็นดินแดนต้นกำเนิดอารยธรรมก็จริง แต่ใต้โดดเด่นตรงความอุดมสมบูรณ์
ราชสำนักเดินด้วยท้อง กองทัพเดินด้วยท้อง ประชาชนก็เดินด้วยท้อง ดินแดนทางใต้จึงต้องคอยช่วยหล่อเลี้ยงดินแดนทางเหนือ การขนส่งที่ง่ายขึ้นทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ความมั่งคั่งก็เกิดขึ้น เศรษฐกิจก็เชื่อมต่อกันง่ายขึ้น
การขุดคลองนี้จึงเหมือนการตัดทางด่วน สร้างทางรถไฟ ขยายระบบโลจิสติกส์ครั้งใหญ่ของประเทศ คลองนี้เสร็จ ทุกละติจูดของจีนจะมีกิน
แต่สิ่งที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้เกี่ยวกับการเริ่มขุดคลองนี้กลับทำให้คนไม่ค่อยแน่ใจว่านี่เป็นหนึ่งในภาพในวิสัยทัศน์ของสุยหยางตี้หรือเปล่า
ฮ่องเต้สุยหยางตี้บัญชาให้เกณฑ์คน 3 ล้าน 6 แสนคน เพื่อขุดคลองนี้ พร้อมทั้งสั่งให้แต่ละ 5 ครัวเรือน ต้องส่งคน 1 คนเข้ามาเป็นคนครัวจัดหาอาหารให้กับคนงาน ทั้งหมดนี้คุมด้วยทหาร 5 หมื่นนาย (พร้อมด้วยแส้ และไม้โบยจำนวนไม่ต่างกัน)
ปกติการเกณฑ์คนของราชการจีนสมัยนั้น ระบุให้เกณฑ์คนที่มีอายุ 16-45 ปี มาใช้งาน สุยหยางตี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงบัญชาแก้กติกาให้ขยายช่วงอายุเกณฑ์เป็น 15-50 ปีในบัดดล
ว่ากันว่า อภิมหาโครงการนี้ทำให้ในปีแรกมีชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาขุดคลองตายไป 2 ล้าน 5 แสนคน ซึ่งก็ไม่แปลก กับยุคสมัยที่ไร้รถแบ็กโฮ เครนไฟฟ้า ไม่อยากจะนึกว่าขั้นตอนการขุดทุกช่วงจะทุกข์ระทมขนาดไหน
ฮ่องเต้สุยหยางตี้รักอภิมหาโครงการนี้มาก ทรงลงมาตรวจตราโครงการนี้ด้วยตนเอง มีคลองขุดช่วงหนึ่งขุดไม่ได้ความลึกเท่าที่ต้องการ จึงสั่งให้ฝังคนงานแถบนั้นทั้งเป็น นับ 5 หมื่นราย สามีและลูกชายของคนหลายหมู่บ้านต้องล้มตาย ภรรยาและลูกเล็กได้แต่ร่ำไห้อยู่เบื้องหลัง
ภาพตัดกับขบวนประพาสตรวจงานของสุยหยางตี้และฮองเฮา ประกอบด้วยเรือมังกร 2 ลำ สร้างเป็นพระราชวังลอยน้ำ สูง 4 ชั้น ตามด้วยขบวนเรือของข้าราชบริพารนับพันลำ รวมความยาวของขบวนเรือต่อเนื่องกันกว่า 100 กิโลเมตร
การเดินทางบางช่วงต้องผ่านคลองซึ่งตื้นเขิน ต้องอาศัยแรงงานคนลากช่วยให้เรือเดินต่อไปได้ สุยหยางตี้ก็เตรียมกองกำลังลากจูงเรือสองข้างชายฝั่ง แต่งตัวด้วยแพรพรรณงดงาม เป็นขบวนประดับบารมี และเพื่อให้งดงามอลังการมากขึ้น เรือมังกรของพระองค์ต้องลากจูงด้วยนางสนมเท่านั้น
เสบียงอาหารที่ต้องตระเตรียมเพื่อขนถ่ายขึ้นขบวนเรือตลอดระยะทางประพาส ก็ขูดรีดมาจากชาวบ้านริมทาง เตรียมไว้เป็นระยะๆ ข้างลำน้ำ ส่งขึ้นไปให้คนบนเรือมีกินมีใช้ทิ้งขว้าง ขณะริมน้ำเต็มไปด้วยประชาชนอดอยาก
ขบวนสุยหยางตี้ชวนชิม จึงไม่เป็นที่ชวนชมสำหรับชาวบ้านสักนิดเดียว
ด้วยอภิมหาโครงการอื่นๆ อีก เช่น เกณฑ์ทหาร 2 ล้านรบเกาหลี รวมถึงสร้างพระราชวัง สร้างเมืองหลวงอันงดงาม ประชาชนจึงโกรธเกลียดฮ่องเต้องค์นี้ พากันด่าประณามว่าขุดคลองไปเพื่อเที่ยวหาความสำราญ หรือไม่ก็เพราะแค่ต้องการไปเสาะหาสาวงามจากแดนใต้
มองในแง่การเมืองสกปรก นั่นอาจเป็นการใส่ร้ายจากผู้ชนะในประวัติศาสตร์ หรืออาจเป็นการป้ายสีของประชาชนผู้ทุกข์ร้อน แต่มองในแง่สถิติก็นับว่าความโหดเหี้ยมนี้มีมูล ประชากรยุคสุยหยางตี้เริ่มขึ้นครองราชย์มีจำนวนมากถึง 46 ล้าน แต่พอสิ้นยุคสมัยสุยหยางตี้ ก็ลดเหลือเพียง 15 ล้าน
เท่ากับว่าประชากร 2 ใน 3 ของประเทศหายไป
ซึ่งก็มาจากการถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน ถูกเกณฑ์ไปรบ หรือบางส่วนก็คงหนีตายไปอยู่ป่าเขาไม่ยอมมาลงทะเบียนราษฎร ซึ่งโดยรวมแล้วก็คืออยู่ในสภาพทุกข์ยากเกินกว่าจะรับได้
เสบียงและเงินคงคลังที่สะสมเก็บออมมาอย่างมากมายในรุ่นพระบิดาของสุยหยางตี้ก็หมดไปไม่น้อย
หลักฐานความโหดร้ายที่สำคัญที่สุดก็คือตัวคลองต้ายุ่นเหอเอง
เพราะคลอง 2,500 กิโลเมตร สร้างในเวลาไม่กี่ปี คงไม่ได้เกิดจากความแข็งขันร่วมมือร่วมใจเท่าไหร่นัก และคงเบียดบังกำลังการผลิตและชีวิตของแต่ละครอบครัวในแผ่นดินจีนไปไม่น้อย
แถมชื่อรัชศก ที่เปรียบเหมือนสโลแกนของรัชสมัย ตัวสุยหยางตี้ก็เลือกใช้ชื่อ “ต้าเย่” ซึ่งแปลว่า ภารกิจยิ่งใหญ่ พระองค์ใช้รัชศกชื่อนี้มาตลอดรัชสมัย (ทั้งๆ ที่ฮ่องเต้องค์อื่นเปลี่ยนไปเรื่อย) นี่คงพอจะบอกได้รางๆ ว่า อภิมหาโครงการทั้งหลาย ส่วนใหญ่เกิดจากความทะเยอทะยานส่วนตัวของสุยหยางตี้
ไม่ใช่แค่ประชาชนเท่านั้นที่ไม่ชื่นชอบ ญาติโกโหติกาทั้งหลายของสุยหยางตี้ก็ไม่ค่อยชื่นชอบพระองค์เท่าไหร่นัก ว่ากันว่าพระองค์เชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นสูงทางใต้มากกว่า พอมีเรื่องวุ่นวายในวัง ก็เอาแต่จะประพาสใต้ ฮองเฮาของพระองค์ก็มาจากตระกูลสูงทางใต้ ซึ่งผิดกับธรรมเนียมของกลุ่มขุนศึกของตระกูลทางเหนือที่มักแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันเอง ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้ผู้คนเอาไปกอสซิปกันว่าขุดคลองไปเพื่อล่องหาสาวงามจากแดนใต้
ดูท่าสุยหยางตี้จะอินดี้ ไม่เห็นใครในสายตาทั้งชีวิตในวงเครือญาติและหน้าที่การงาน (ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้อยู่ เพราะสุยหยางตี้ในวัยเด็กถูกบันทึกไว้ว่าไอคิวสูงและหน้าตาดี คงไม่แปลกนักที่จะเหลิง)
และเมื่อความลำบากเลยเถิดและเนิ่นนาน ทำให้ประชาชนลุกฮือ กบฏได้รับการสนับสนุน และมือสังหารสุยหยางตี้ก็คือคนข้างๆ กาย
ราชวงศ์สุยสูญสิ้นไป ทำให้เกิดราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ที่เกิดคำพูดว่า “น้ำลอยเรือก็ได้ จมเรือก็ได้” “ขูดรีดประชาชน เท่ากับเฉือนเนื้อตัวเองกิน”
ว่ากันว่า ฮ่องเต้แนวหน้าแห่งราชวงศ์ถัง นามถังไท่จง เจ้าของวลีเด็ดข้างต้น ก็คือสุยหยางตี้ที่เรียนรู้แล้วว่าฮ่องเต้ควรเงี่ยฟังขุนนางและเห็นหัวประชาชน
ถือว่าในตำแหน่งผู้นำ หล่อ ฉลาด มีวิสัยทัศน์ แค่นี้ยังอยู่ยาก
คลองต้ายุ่นเหอยังคงรับใช้ประชาชาติจีนต่อมาอีกนับร้อยนับพันปี โดยเจ้าของโครงการกลับโดนประณามหยามเหยียดตลอดมา เป็นความโชคร้าย (ที่อาจหลีกเลี่ยงได้) ของสุยหยางตี้
จะบอกว่าสุยหยางตี้เป็นฮ่องเต้ที่ดีเพราะขุดคลองต้ายุ่นเหอก็คงไม่ใช่ ส่วนจะบอกว่าคลองต้ายุ่นเหอเลวร้ายเพราะสร้างโดยสุยหยางตี้ผู้โหดเหี้ยมก็ไม่ถูกอีก
แต่อย่างน้อยก็ยังถือเป็นความโชคดีที่ราชวงศ์ถังไม่บ้าจี้ประณาม หรือถมคลองต้ายุ่นเหอ แต่ใช้มันสร้างความมั่งคั่งให้แก่แผ่นดินสืบมา


