คำถามที่ตอบเองได้!! (ตอน๒)
ปุจฉา : กราบนมัสการท่านพระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : กราบนมัสการท่านพระอาจารย์อารยะวังโส
ขออนุญาตเรียนถามเรื่องกัลยาณมิตรเจ้าค่ะ เราจะหากัลยาณมิตรทางธรรมที่แนะนำธรรมะได้อย่างไร เราควรจะปวารณาตัวเองอย่างไร บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่าท่านผู้นั้นจะยอมรับสั่งสอนเราหรือไม่ บางครั้งเหมือนคนหลงทางเจ้าคะ
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
วรารัตน์
วิสัชนา : ที่ชี้แจงแสดงให้เห็นประโยชน์ขั้นสูงสุดเพื่อให้รู้เข้าใจในความเหมาะควรที่จะมุ่งหมายไปให้ถึง ไม่หลงยึดติดเพียงแค่ประโยชน์ในปัจจุบัน หรือประโยชน์ขั้นลูบๆ คลำๆ ไม่เที่ยงแท้หนอ แม้ในเบื้องหน้า!! ความเข้าใจที่ดีดังกล่าวต่อสถานภาพที่ได้มาของเราในฐานะความเป็นมนุษย์อันเป็นสมบัติแห่งกองกรรมกองเวรที่เราก่อร่างสร้างมากับมือ จึงต้องมารับผลให้ฐานะผู้เป็นเจ้าของผลการกระทำนั้นๆ อันเป็นไปตามหลักความเป็นธรรมดา ดังพระพุทธวจนะที่กล่าวรับรองในกรณีดังกล่าวไว้ว่า...
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ.
แปลความว่า บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ซึ่งเป็นสัจธรรมอันเป็นไปตามกฎแห่งความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งควรน้อมเข้ามาคิดพิจารณาให้เป็นคุณต่อตัวเรา เพื่อนำไปสู่ความปักใจเชื่อในการกระทำความดี สร้างบารมีให้มาก ประกอบการกุศลให้ยิ่ง เพื่อก้าวไปให้ถึงที่สุด อันอริยชนพึงปรารถนา!!
ด้วยความเข้าใจในกฎความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติที่จัดอยู่ในรูป “กรรมนิยาม” ที่บอกกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในการกระทำและผลที่เกิดจากการกระทำที่สอดคล้องสมกันดังที่ว่า ทำกรรมดี มีผลดี ทำกรรมชั่ว มีผลชั่ว ผู้กระทำย่อมต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ!! ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าใจในความจริงที่จะนำประโยชน์มาสู่ตน เมื่อรู้จักใช้ส่วนที่เป็นคุณ และรู้จักละเว้นส่วนที่เป็นโทษ ดังพระพุทธวจนะที่กล่าวไว้ว่า “การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตให้บริสุทธิ์ นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
จากที่กล่าวมาโดยสรุปย่อพอเข้าใจในเรื่องของความจริงที่มีปรากฏมีอยู่ในธรรมชาติในรูป “กรรมนิยาม” นั้นเพื่อจะได้แนะนำให้สาธุชนรู้จักใช้ประโยชน์ตนเองในทางสร้างสรรค์ จากการอ้างอิง “กรรมนิยาม” ดังกล่าว ทั้งนี้ด้วยเราทั้งหลายยังเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยกรรม เพื่อเข้าใจในความจริงดังกล่าวอันปรากฏเป็นบรรทัดฐานในคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นลักษณะ “กรรมคติ” ก็จะได้มุ่งออกมาจากความทุกข์ ความมีโรคมีภัย ด้วยการกระทำแต่กรรมดี เพื่อหวังผลจากการกระทำความดีนั้นๆ ซึ่งจะให้คุณอย่างเต็มกำลัง เมื่อ ถูกดี ถึงดี และพร้อมดี หรือพอดี สามารถตรวจสอบและรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถเปิดเผยให้ผู้อื่นเข้ามาดูได้ เพื่อประโยชน์แห่งตนเองและผู้อื่น
การเข้าใจประโยชน์ในเรื่องของ “กรรมนิยาม” ที่ปรากฏเป็นคติธรรมคำสอนอยู่ในพระพุทธศาสนาของเรา สามารถช่วยให้เรารู้จักใช้ประโยชน์จากฐานะที่ได้มาความพร้อมที่มี เพื่อสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้นด้วยการกระทำของเรา โดยการเห็นชอบตามทำนองคลองธรรมในความจริงที่ปรากฏเป็นผลมาจากการทำความดีหรือความชั่วนั้น ซึ่งจัดอยู่ในรูป บาปบุญ อันนำมาซึ่งคุณหรือโทษ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นมาจากกรรมนำคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดกระทำสิ่งใดๆ ก็ต้องรับผลจากการกระทำนั้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้เลย” ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า
“บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้แล้ว จะหนีไปในอากาศ
หนีไปท่ามกลางมหาสมุทร หนีไปสู่ซอกเขา
แม้ว่าจะอยู่ในผืนแผ่นดินใด ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่วได้”
“กรรมคติ” จึงเป็นหลักการเรียนรู้ในศาสนาของพระพุทธเจ้า เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในความจริงของธรรมชาติ และย้อนกลับมาเข้าใจตัวเราอันเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ เพื่อยอมรับในความจริงที่ปรากฏมีอยู่ว่า “มันเป็นเช่นนี้เอง...ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ และไม่แปรเป็นอย่างอื่น”
การนำมาสู่ความเข้าใจในเรื่องของกรรมนั้น เพื่อประโยชน์ที่จะนำไปสู่กระบวนการคิดค้นวิจัยในสรรพปัญหา อันเป็นเงื่อนไขมาแต่กรรมที่กล่าวอยู่ใน “เหตุปัจจัย” และผูกความหมายแสดงอำนาจของกรรมวิบาก ไว้ว่า “เมื่อเหตุปัจจัยยังมีอยู่ สิ่งทั้งหลายก็ยังมีอยู่ เมื่อเหตุปัจจัยสูญสิ้นไป สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็ย่อมสูญสิ้นไป”
หลวงปู่มั่นกล่าวไว้ว่า “เรื่องกรรมเป็นของลึกลับ และมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย ถ้าเราสามารถรู้เห็น กรรมดีกรรมชั่ว ที่ตนและผู้อื่นทำขึ้น เหมือนเห็นวัตถุต่างๆ จะไม่กล้าทำบาป แต่จะกระตือรือร้นทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ ความเดือดร้อนในโลกก็จะลดน้อยลง เพราะต่างก็รักษาตัวกลัวบาปอันตราย”
หลวงปู่มั่นได้แสดงธรรมเทศนาเรื่องกรรมไว้อีกตอนหนึ่งที่ควรแก่การพิจารณาอย่างยิ่งว่า “เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และเลวกว่าสัตว์อีกมากมาย อย่าพากันทำ ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่ความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์...”
อาตมาได้นำเรื่องกรรมมาแจกแจงโดยย่อเพื่อเชิญชวนสาธุชนทำปัญญา จะได้รู้แจ้งในความจริงของโลกใบนี้ ว่าจะสุข จะทุกข์ ไม่ว่าต่อตนเอง หรือภาครวมของสังคมก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการกระทำของเรา หรือพวกเราเอง ในพระพุทธศาสนาจึงได้วางหลักการเรียนรู้ปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความคิด ยกระดับจิตใจให้เข้าสู่ฐานะความบริสุทธิ์เพื่อเข้าสู่ “วิมุตติธรรม” ตามหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาบนเส้นทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา อันมีองค์ธรรม ๘ ประการ
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้
...พระอาจารย์อารยะวังโส


