วิวัฒนาการความรุนแรง
เสียงหมัดกระแทกใบหน้าและลำตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ตามแรงส่งของกล้ามเนื้อเท่าที่เรี่ยวแรงของกายเนื้อ
โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน
เสียงหมัดกระแทกใบหน้าและลำตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ตามแรงส่งของกล้ามเนื้อเท่าที่เรี่ยวแรงของกายเนื้อของผู้เป็นเจ้าของมีแรงปะทะจากส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของมือ ตรงเข้าจู่โจมหวังทำลายส่วนที่บอบบางที่สุดของใบหน้า หรือส่วนอื่นๆ เท่าที่ประสาทสั่งการจะตัดสินใจในเสี้ยววินาทีของโอกาส
ร่างกายตื่นตัวเต็มที่ สายตาจ้องแข็งไปยังฝ่ายตรงข้ามท่ามกลางกลิ่นเหงื่อ ผสมเลือดอันตลบอบอวล...การต่อสู้ในโลกของเด็กผู้ชายกำลังดำเนินไป
ช่วงเวลาของการต่อสู้ ภายใต้สายตาที่เปล่งแววตาประกาศความเป็นอริ ระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานอยู่ขณะนั้น จะควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ กล้ามเนื้อหัวใจที่สูบฉีดเต็มชนิดที่ได้ยินเสียงเต้นชัดเจน และต่อมต่างๆ ที่กำลังพลุ่งพล่าน แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัตินี้ ประกอบไปด้วยสองระบบย่อย คือ ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ทำหน้าที่ขณะตื่นตกใจ กลัว โกรธ หรือเกิดการต่อสู้ อีกระบบหนึ่งก็คือ ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) ทำหน้าที่ตรงข้ามกับประสาทซิมพาเทติก
กล่าวคือ การเต้นของหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเทติกจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น แต่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำให้หัวใจเต้นช้าและเบาลง
ระบบแรก เตือนให้ร่างกาย “เตรียมพร้อม” ที่จะจู่โจมเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ทว่าระบบหลังกลับเข้ายับยั้ง ราวกับบอกว่า “ช้าก่อน” การสั่งการที่ทำงานในลักษณะตรงข้าม ย้อนแย้งกันเองของร่างกาย เป็นเรื่องที่ผู้ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายหลงลืมไปชั่วขณะ ปล่อยให้ระบบของร่างกายทำงานแทน
การต่อสู้กันในโลกของเด็กผู้ชายวัยกระเตาะ มักจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากเหตุผลที่ซับซ้อน จนแทบจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกเดียวกันได้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อดำรงความเป็นใหญ่ หัวหน้ากลุ่ม หรือต่อสู้เพราะหวงแหนสิทธิอาณาเขตที่ตนครอบครองอยู่
พฤติกรรมการต่อสู้ตามธรรมชาติถูกพัฒนาขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในอีกรูปแบบหนึ่ง ระบบประสาทที่กล่าวมา สั่งการให้คู่ต่อสู้ทำท่าขู่กรรโขกซึ่งกันและกัน อาการกล้าๆ กลัวๆ สลับกัน การแสดงออกของกิริยาท่าทางด้วยการขู่คำรามดุดันเป็นท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดแจ้ง ให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์อย่างไร บอกฝ่ายตรงข้ามให้รู้ว่า อยากลองเสี่ยงก็เข้ามา
นักสัตวศาสตร์อธิบายว่า หากสัตว์แสดงท่าทีดังกล่าว (ซึ่งมีรูปแบบการขู่ศัตรูที่แตกต่างกันออกไปตามระบบที่บรรพบุรุษแต่ละชนิดพัฒนาขึ้น และฝังไว้กับสัญชาตญาณของสมาชิกร่วมเผ่าพันธุ์รุ่นต่อๆ มา) แปลได้ว่า คือการยื่นข้อเสนอให้ตกลงกันได้ ให้อีกฝ่ายถอยไปโดยไม่ต้องต่อสู้กัน
แต่หากการขู่ไม่ได้ผล หลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้จริงๆ การเข้าโรมรันกันของสัตว์ก็มีรายละเอียดลักษณะหลายประการที่น่าสนใจ เช่น สัตว์กินเนื้อ ซึ่งมีเขี้ยวเล็บร้ายกาจเป็นอาวุธ มันจะไม่ใช้ชั้นเชิงหรือยุทธวิธีการต่อสู้ที่ใช้การสังหารเหยื่อที่มันล่าเป็นอาหารกับคู่ต่อสู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน และเมื่อเห็นคู่ต่อสู้แสดงอาการบางประการเพื่อสื่อสารว่า “ยอมแพ้แล้ว” ท่าทีการสยบยอม ด้วยการงอตัว หมอบ ตัวลีบ หดตัวให้เล็กที่สุด จะเป็นสัญญาณให้ฝ่ายชนะลดความดุร้ายลง เช่น ลิงชิมแปนซี ตัวที่แพ้จะยื่นมือให้ตัวชนะ เป็นการบอกว่า ยื่นมือยอมให้กัด หรือจะทำอะไรก็ตามใจ
อาณัติสัญญาณการยอมแพ้ที่ปรากฏอยู่ในโลกของเด็กผู้ชายก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน หากอีกฝ่ายยอมแพ้อีกฝ่ายจะเริ่มลดความดุดันลง หรือเรียนรู้โดยแทบจะอัตโนมัติ สังคมของพวกเขาจะไม่ยอมรับใครที่รังแกผู้แพ้...จนกระทั่งพวกเขาพัฒนาสัญชาตญาณการต่อสู้ให้สูงขึ้นในเวลาต่อๆ มา
เมื่อเวลาผ่านไป โลกของเด็กชาย ก. และเด็กชาย ข. ที่เริ่มซับซ้อนขึ้น เปลี่ยนการต่อสู้เพื่อดำรงความเป็นใหญ่ หัวหน้ากลุ่ม หรือต่อสู้เพราะหวงแหนสิทธิอาณาเขตที่ตนครอบครองอยู่ไปแทบหมดสิ้น แรงขับในการต่อสู้ถูกนำไปตีความออกไปสร้างระบบเหตุผลที่ซับซ้อน ด้วยวิธีคิดที่ผูกโยงกับสิ่งที่อยู่รอบตัว จนประกอบกันขึ้นเป็นแนวคิดปกป้องหรือทำลายระบบสัญชาตญาณการต่อสู้ ทำลายล้างเผ่าพันธุ์เดียวกัน ที่ยุ่งขิงเกินกว่าที่บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์อื่นใดจะคาดถึง
ภาษาทางร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ การพองตัวคำรามประกาศความเป็นอริ ท่าทีหดตัวลีบแสดงการยอมแพ้ แทบจะไม่มีความหมายอะไรนัก ใน “โลกความรุนแรง” ที่กระจายอยู่เป็นวงกว้างในสังคมมนุษย์ยุคใหม่เลยแทบจะเป็นเรื่องชาชินเสียแล้วที่เราได้ทราบข่าวความรุนแรงของคนที่กระทำต่อกันอย่างไม่สนใจหรือเพิกเฉยต่อท่าทียอมแพ้ของอีกฝ่าย
หรืออาจกล่าวได้ว่า การคร่าชีวิตอีกฝ่ายที่ยอมแพ้ ร้องขอชีวิต การสังหารพวกเดียวกันเพื่อปกป้องแนวคิดของตัวเอง หรือกระทั่งเพื่อความบันเทิง หรือเหตุผลใดที่ไม่ใช่การยังชีพ
ความรุนแรงของมนุษย์กลายเป็นพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียว ที่ดูเสมือนว่าวิวัฒนาการหนีจากจุดเดิมที่ฝังแน่นอยู่ในสัญชาตญาณได้รวดเร็วที่สุด
แน่นอนว่า มันอาจจะพัฒนามาจนถึงการกดปุ่มระเบิดสังหารอีกฝ่าย โดยแทบจะไม่รู้จักหรือรับรู้ถึงชีวิตของผู้รับเคราะห์ในแง่ใดๆ เลย


