posttoday

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์

17 สิงหาคม 2558

เด็กที่เพิ่งเรียนจบกันมาใหม่ๆ คงมีบ้างที่คิดในใจว่า ฉันจะเหมาะกับงานแบบไหนกันละ

โดย...กองบรรณาธิการ

เด็กที่เพิ่งเรียนจบกันมาใหม่ๆ คงมีบ้างที่คิดในใจว่า ฉันจะเหมาะกับงานแบบไหนกันละ หรือบริษัทที่ฉันอยากทำงานด้วยต้องการคนประเภทไหน จะใช่เราหรือไม่ สิ่งนี้อาจไม่ได้สำคัญอีกแล้วในการสมัครงานในยุคปัจจุบัน ด้วยเพราะชีวิตการทำงานมีมากกว่านั้น ยิ่งในยุคโซเชียลยิ่งไม่มีความแน่นอนในการเตรียมพร้อมเอาเสียเลย อย่างกรณีล่าสุดทั้งที่นายจ้างยิ้มรับอยู่แล้ว แต่ดันเขียน คะ กับ ค่ะ ผิดที่ผิดเวลา ก็ชวดได้งานแบบงงรับประทาน แมกซ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับเฟรช มีมุมมองการรับสมัครเด็กจบใหม่ของบริษัทต่างๆ มาแนะนำให้พอเป็นแนวทาง ก่อนการก้าวเดินในหนทางเฟิสต์จ๊อบเบอร์

รักความท้าทาย ชอบการเปลี่ยนแปลง นี่แหละใช่เลย

กฤษณ์ จิตต์แจ้ง รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหารสายงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า โลกสมัยนี้หมุนเร็วขึ้น เช่นเดียวกับในธุรกิจการเงิน กสิกรไทยเองก็เป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา และเรายังมุ่งหน้าพยายามทำสิ่งที่ดีขึ้นไปอีก ถามว่าอะไรคือสิ่งที่เรามองหาจากบุคลากรรุ่นใหม่ มี 2 ข้อหลักๆ คือ ชอบความท้าทาย และรักการเปลี่ยนแปลง

“นอกเหนือจากทักษะพื้นฐานที่ต้องมีในตำแหน่งงานย่อยๆ เรามองหาคนที่ชอบความท้าทาย พร้อมที่จะวิ่งไปข้างหน้ากับองค์กรของเรา ซึ่งต้องการวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก โดยเขาต้องรู้ว่าจะทำให้องค์กรเราวิ่งเร็วขึ้นไปอีกได้อย่างไร อีกอย่างคือชอบและรู้สึกดีกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์ กฤษณ์ จิตต์แจ้ง

 

กฤษณ์ บอกว่า ธนาคารกสิกรไทยผ่านการเปลี่ยนถ่ายของบุคลากรมาสู่อีกเจเนอเรชั่นสักระยะ ตอนนี้บุคลากรของเราเป็นเด็กยุคเจเนอเรชั่นวายประมาณ 64% ซึ่งในฐานะที่ดูแลฝ่ายทรัพยากรบุคคล เขามองว่า คนรุ่นใหม่กับคนยุคก่อนไม่ต่างกัน เพราะต่างมองหาความสำเร็จในอาชีพการงาน

“มุมมองของเด็กรุ่นใหม่อาจจะยูนีก ชอบอะไรใหม่ๆ ชอบความท้าทาย บางอารมณ์ก็อยากให้มีคนช่วยสอนงาน บางอารมณ์ก็อยากทำงานคนเดียว ผมไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อจำกัด เป็นข้อเสีย แต่กลับมองในแง่บวกว่าโจทย์ขององค์กรยุคใหม่คือ จะรับมือกับมุมมองเด็กรุ่นใหม่อย่างไร เป็นไปได้มั้ย ถ้าพวกเขาชอบลอง ชอบความท้าทาย เราจะเปิดโอกาสให้เขาได้ลอง เพื่อให้ตกผลึกจากสิ่งที่ทำ”

ถามว่าบุคคลประเภทไหนที่องค์กรไม่ต้องการ กฤษณ์ บอกว่า คนที่มีปัญหาเรื่องอีคิวและการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เพราะความสำเร็จขององค์กรไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ได้เกิดจากฝีมือคนคนเดียว ต้องทำงานร่วมกัน ทำงานด้วยกัน เราต้องเข้าใจเขา เขาต้องเข้าใจเรา ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่รวมถึงคนทำงานทุกคน

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์

 

กฤษณ์ ทิ้งท้ายถึงเฟิสต์จ๊อบเบอร์ที่กำลังจะเข้าสู่สายอาชีพว่า ให้เลือกทำในสิ่งที่ชอบหรือสนใจ ถึงเริ่มงานไปแล้ว อาจจะไม่เจองานที่ชอบ งานที่ใช่ อย่าเพิ่งท้อถอยที่หาตัวเองไม่เจอ เพราะคนเราต้องให้เวลากับตัวเองในการหาตัวเองให้เจอ

“ไม่ผิดหรอกที่เราจะให้เวลากับตัวเองในการมองหาสิ่งที่ใช่ หรือแม้แต่ใครเลือกจะจบมาทำธุรกิจของตัวเองเลยก็ไม่ผิด ถ้าอยากทำอะไรขอให้ทำเลย ทั้งหมดคือประสบการณ์ชีวิต เพราะ 4-5 ปีแรกของชีวิตการทำงานคือ ช่วงทดลองตามหาตัวเอง”

ทัศนคติ มุมมอง ความคิด

เป็นสิ่งที่สำคัญ

“โอกิลวี่” (Ogilvy) เป็นบริษัทแถวหน้าในวงการโฆษณา แน่นอนว่าเด็กจบใหม่ไม่น้อย ต้องการเข้ามาเรียนรู้ชีวิตการทำงานที่นี่ ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายที่จะมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกขององค์กรระดับข้ามชาติ กนกพรอภิชิตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท โอกิลวี่ เล่าถึงระบบการคัดเลือกพนักงานของโอกิลวี่ให้พอเข้าใจถึงมาตรฐาน 3 ด้านหลักๆ ในการพิจารณา...

ด้านแรกคือ “Job Fit” จะดูว่าผู้สมัครเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ โดยวัดจากความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ คุณสมบัติต่างๆ และรวมถึงการทำแบบทดสอบก่อนการเข้าทำงาน

ด้านที่สองคือ “Organization Fit” ตรงส่วนนี้จะดูว่าผู้สมัครเหมาะกับองค์กรหรือไม่ เพราะแต่ละธุรกิจและองค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างกัน ซึ่งส่วนนี้ทางบริษัทจะแยกย่อยออกเป็น 8 ข้อ ที่เรียกว่าชุมชนคนมีความคิดสร้างสรรค์สูง ประกอบด้วย 1.Courage 2.Idealism 3.Curiosity 4.Playfulness 5.Candour 6.Intuition 7.Free-Spiritedness 8.Persistence ทั้ง 8 อุปนิสัยถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ใช้ในการพิจารณา

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์ กนกพร อภิชิตานนท์

ด้านที่สามคือ “Motivation Fit” ความสนใจของผู้สมัครในเรื่องต่างๆ หรืออาจเรียกได้ว่า Passion ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในวงการโฆษณา

ถึงตรงนี้ กนกพรเล่าให้ฟังต่อถึงทัศนคติบางอย่างที่ทางโอกิลวี่ไม่ต้องการ ซึ่งมักมีในตัวเด็กจบใหม่เอาไว้ด้วย

“ต้องยอมรับว่าเด็กรุ่นใหม่เป็นเด็กที่เก่งรอบด้าน เรียนดี กิจกรรมเด่น และมาพร้อมทักษะที่เพียบพร้อม แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเกือบทุกองค์กรให้ความสำคัญคือ เรื่องทัศนคติในการทำงาน บางครั้งตัดกันที่ตรงนี้ และที่ขาดไม่ได้เลยเวลาสัมภาษณ์งานคือ การเตรียมตัวและการศึกษาธุรกิจขององค์กร เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นตัววัดอย่างหนึ่งว่าผู้สมัครมีความสนใจ หรือมี Passion มากพอไหมที่จะมาร่วมงานกันในสายอาชีพนี้

น้องหลายๆ คนอยากร่วมงานกับโอกิลวี่มาก แต่ไม่รู้เลยว่าในแวดวงโฆษณาเขาทำอะไรกันบ้าง งานโฆษณาตอนนี้เป็นอย่างไร หรือแทบไม่เคยได้ดูงานโฆษณาเลยก็มี อีกอย่างที่เห็นบ่อยก็คือส่วนใหญ่เห็นเรซูเม่แล้วน่าสนใจ แต่เวลามาสัมภาษณ์เด็กรุ่นใหม่ หลายคนขาดทักษะในการนำเสนอ ถ่ายทอดข้อมูล อาจด้วยโลกยุคนี้เป็นยุคที่ใครๆ ก็สื่อสารผ่านการพิมพ์ข้อความ ทำให้เวลาต้องถ่ายทอดข้อมูลผ่านการพูด กลับดูไม่น่าสนใจ และไม่สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงแก่นที่อยากนำเสนอได้”

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์

 

นอกจากเรื่องทัศนคติข้างต้นที่ไม่สมควรมีแล้ว สิ่งที่ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของโอกิลวี่ มักประทับใจในการสมัครงาน คือความประทับใจในความรู้และทักษะรอบด้านที่เด็กรุ่นใหม่มี โดยเฉพาะเมื่อเจอเด็กที่มีพลัง มีความฝัน

“เมื่อเขามีความฝัน เรามักจะเห็นพลังในการไล่ตามฝันแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ย่อท้อ เคยเจอน้องคนหนึ่งที่มีความฝันชัดเจนมาก รู้ว่าอยากทำอะไร จนวันหนึ่งก็เริ่มตามฝันโดยการมาฝึกงานที่บริษัท และระหว่างการฝึกงานน้องก็พยายามอย่างเต็มที่ ค่อยๆ ฝึกฝน เก็บเกี่ยว และพัฒนาตนเอง ที่สำคัญพลังในการทำงานไม่เคยหมด และเมื่อเรียนจบน้องก็ได้เข้ามาทำงานที่โอกิลวี่ จากวันนั้นถึงวันนี้พลังของน้องไม่เคยตกเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ๆ ประทับใจมาก”

‘กูเกิล’ สร้างดีเอ็นเอของคนรุ่นใหม่

อริยะ พนมยงค์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ กูเกิล ประเทศไทย บอกแนวคิดของคนที่กูเกิลต้องการไว้ว่า คนที่จะเข้ามาเป็นพนักงานของกูเกิล หรือที่เรียกว่า กูเกลอร์ (Googler) นั้นโดยหลักการคัดเลือกกูเกิลจะสนใจสิ่งที่คิดเป็นหลัก ไม่เน้นเรื่องเกรดหรือผลการเรียน แต่จะมองหาสิ่งที่สะท้อนแนวคิดความกูกลีย์ (Googley) หรือความมีบุคลิกแบบชาวกูเกิล ในตัวของคนที่มาสมัครงานว่ามีมากน้อยแค่ไหน โดยคนที่สัมภาษณ์งานจะเป็นทีมงานของกูเกิล ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมทีมของคุณในอนาคตหลายๆ คนร่วมในการสัมภาษณ์

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์ อริยะ พนมยงค์

 

โดยหลักการในการคัดเลือกเพื่อนร่วมงานจะมีอยู่ 4 ด้านหลักที่ยึดถือปฏิบัติกันมาก็คือ

1.ความเป็นผู้นำ กูเกิลอยากรู้ว่าคุณมีวิธีการหรือแนวทางจัดการอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนทีมให้ทำงานไปได้ อาจเป็นการแสดงบทบาทผู้นำเวลาทำงานหรือในองค์กร หรือการช่วยทีมให้ประสบความสำเร็จในกรณีที่คุณไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม ด้วยการสมมติสถานการณ์ขึ้นมา

2.ความรู้ในงานที่คุณรับผิดชอบ กูเกิลมองหาคนที่มีความหลากหลายทั้งด้านความเข้มแข็งและความหลงใหลในงาน ไม่ใช่แค่ทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะต้องมีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง และมีพื้นฐานที่จะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในบทบาทหน้าที่การงาน

3.วิธีที่คุณคิด ดูว่าคุณมีแนวทางในการแก้ปัญหา หรือแนวความคิดต่อสิ่งต่างๆ อย่างไร ในการสัมภาษณ์งานผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับบทบาทความรับผิดชอบที่ให้คุณเปิดโอกาสในการแก้ปัญหานั้นๆ แสดงให้เห็นว่าคุณมองเห็นปัญหาและตอบโจทย์ได้ทะลุปรุโปร่งแค่ไหน

ก่อนจะเป็นเฟิสต์จ๊อบเบอร์

 

4.บุคลิกแบบกูเกิล ที่เรียกว่า Googleyness คนที่อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณในอนาคตจะมองหาความเป็นตัวตนของคุณ และดูให้มั่นใจว่าคุณจะสามารถทำงานร่วมกับเราได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ทำให้คุณเป็นคุณ เราอยากมั่นใจว่าคุณจะอยู่ที่นี่ได้

หลังจากนั้นคะแนนของผู้สัมภาษณ์ทุกคนจะถูกนำมารวมกัน ส่งให้กรรมการตรวจสอบและคัดเลือกคนที่ดีที่สุดในสายตาเข้ามาเป็น นูเกลอร์ (Noogler ชื่อเรียกพนักงานใหม่)

โดยสรุปแล้วสิ่งที่กูเกิลต้องการมากที่สุด คือคนที่มีความสามารถ ความเป็นตัวของตัวเอง มีไฟในการทำงาน และมีแนวคิดใหม่ๆ ที่สามารถก้าวไปด้วยกันได้

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย