รุ่น 3 ไร่กำนันจุล
หากมีโอกาสเดินทางไปยัง จ.เพชรบูรณ์ น้อยคนนักที่จะพลาดเดินทางไปยัง “ไร่กำนันจุล”
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล ภาพ... ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
หากมีโอกาสเดินทางไปยัง จ.เพชรบูรณ์ น้อยคนนักที่จะพลาดเดินทางไปยัง “ไร่กำนันจุล” อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันขึ้นชื่อของเมืองมะขามหวาน ด้วยขนาดพื้นที่มากกว่า 1 หมื่นไร่ ที่จัดสรรปันส่วนพื้นที่ภายในไร่ทั้งเพื่อการเกษตรกรรม ปลูกพืชผักผลไม้ประเภทต่างๆ พร้อมนำมาแปรรูปและกิจการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแบบครบวงจร ที่ต่อยอดผลผลิตไปสู่ธุรกิจค้าปลีกในชื่อร้านไร่กำนันจุล ซึ่งปัจจุบันกิจการไร่ได้ถูกส่งไม้ต่อไปยังรุ่น 3 แล้ว
จงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์ วัย 38 ปี ทายาทรุ่น 3 หลานปู่กำนันจุล ที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่นายจุล คุ้นวงศ์ ต่อจากปู่และพ่อ เล่าให้ฟังถึงที่มาอาณาจักรไร่กำนันจุลแห่งนี้ โดยนายจุล อพยพครอบครัวจากกรุงเทพฯ มาบุกเบิกงานไร่ในเพชรบูรณ์ตั้งแต่ 80 ปีก่อนเพื่อทำการเกษตรปลูกส้มเขียวหวานที่ใหญ่ที่สุดใน อ.เมือง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงนั้น แต่ไม่นานนักไร่ส้มก็ประสบปัญหาโรคระบาดทำให้ต้องโค่นต้นส้มเขียวหวานไปกว่า 8 หมื่นต้น พร้อมกับมองหากิจการใหม่มาทดแทน คือ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ที่ดำเนินกิจการเรื่อยมาจนถึงรุ่นคุณพ่อ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ครอบครัวคุ้นวงศ์จะหันยึดอาชีพการเกษตรใน จ.เพชรบูรณ์ นั้น คุณปู่ได้พิจารณาเลือกดูอยู่หลายอาชีพว่าจะทำอะไร กระทั่งได้ข้อสรุปทำการเกษตร เพื่อปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โดยยึดเงื่อนไข 3 ประการ ซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวที่คุณปู่มองเห็นในกิจการไร่ล่วงหน้าคือ 1.การทำเกษตรจะต้องมีอุตสาหกรรมรองรับ ต้องมีฤดูกาลหากนำมาแปรรูปได้ก็จะดี 2.เป็นกิจการที่ต้องเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก สร้างงาน สร้างอาชีพได้ในชุมชน ซึ่งจากจุดเริ่มต้นกิจการงานในไร่แห่งนี้มีคนงานเพียง 300 คน ถึงปัจจุบันมีพนักงานแล้วกว่า 1,300 คน
ข้อสุดท้าย 3.ต้องเป็นอาชีพที่มีคนทำได้ยาก เพราะคนไทยมักนิยมทำอาชีพหรือธุรกิจตามกระแส หากกิจการไหนดี คนก็จะแห่กันมาทำมากจนทำให้สินค้าล้นตลาด ซึ่งนั่นคือวิชั่นที่คุณปู่วางไว้ตั้งแต่เกือบ 50 ปีก่อน หรือราว พ.ศ. 2511 ที่ครอบครัวคุ้นวงศ์ ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมผู้ผลิตไหมไทยอย่างครบวงจรเป็นครั้งแรก
ตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ในกิจการผ้าไหมภายใต้บริษัท จุลไหมไทย ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ไหมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไหมเส้นยืน จากเดิมที่แหล่งผลิตไหมในไทยที่ต่างๆ จะไม่สามารถผลิตเส้นไหมประเภทนี้ได้มาก่อน พร้อมกับที่บริษัทได้เข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ไหมจากเมืองหนาวให้มีคุณภาพ เส้นใยที่เหมาะสมกับเมืองร้อนในบ้านเรา
ปัจจุบันจุลไหมไทยเป็นผู้พัฒนาและผลิตเส้นไหมเพื่อการทอผ้าผืนที่ดีที่สุด โดยมีเส้นไหมคุณภาพดีเป็นที่นิยมในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้รหัส จุลไทย ร่วม 10 สายพันธุ์ โดยจุลไทย นัมเบอร์ 1 และ จุลไทย นัมเบอร์ 6 ซึ่งเป็นผลผลิตจากการวิจัยและพัฒนาจนได้เป็นรังไหมสีขาวโดย 1 รังจะให้ความยาวของเส้นใยมากกว่า 1,000-1,500 เมตรซึ่งเหมาะกับการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมมากกว่า และเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ซึ่งต่างจากรังไหมสีเหลืองปกติทั่วไปที่จะให้เส้นใยที่มีความยาวเพียง 200-300 เมตร
ไหมไทย จะมีปุ่มปมของเส้นใยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งเป็นเสน่ห์ดึงดูด รวมถึงคุณสมบัติให้ผิวสัมผัส เนียน นุ่มลื่น และมีความมันวาว มากกว่าไหมต่างชาติอีกด้วย
จากที่เกริ่นมาข้างต้น จงสฤษดิ์ บอกว่าคือสิ่งที่ตัวเขาในฐานะรุ่น 3 จะต้องสานต่อกิจการครอบครัวให้ไปต่อ จากรากฐานเดิมที่วางเอาไว้อย่างดี หลังจากได้เริ่มเข้ามาช่วยกิจการก่อนหน้านี้ในหลายๆ ด้าน ซึ่งถึงปัจจุบันอยู่ในฐานะผู้บริหารกิจการไร่เต็มตัวตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งก็มีหลายโจทย์ที่เขาจะต้องนำกลับมาทบทวน และขบคิดในเชิงธุรกิจต่อไปในไร่กำนันจุลแห่งนี้ ที่ปัจจุบันได้แบ่งโครงสร้างธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน คือ
หนึ่งกลุ่มธุรกิจหลัก อุตสาหกรรมปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำถีงปลายน้ำ จากการพัฒนาสายพันธุ์ไหมร่วมกับประเทศญี่ปุ่น มีโรงเรียนสอนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมโดยเฉพาะ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายใต้การดำเนินการของมูลนิธิจุลไหมไทย และยังมีสมาชิกเกษตรกรผู้เลี้ยงไหม (คอนแทรกส์ ฟาร์มิ่ง) ราว 2,500 ครัวเรือน ใน 26 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีโรงงานสาวเส้นไหมยืนที่ใหญ่ที่สุดในไทย และกิจการสนับสนุนด้านอื่นๆ ที่สร้างรายได้หลักกว่า 60%
สำหรับกลุ่มที่สอง ธุรกิจเสริมด้านการเกษตร ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อราวปี 2539 ซึ่งจงสฤษดิ์ในฐานะคนรุ่นใหม่มองเห็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกที่จะมีแนวโน้มเติบโตควบคู่ไปกับงานเกษตรกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มสวนผลไม้ประเภทต่างๆ ในไร่ อย่างส้มโชกุน ส้มเช้ง ส้มโอ มะละกอ เป็นต้น ไปจนถึงบ่อเลี้ยงปลา ที่สามารถนำผลผลิตมาแปรรูปเพื่อจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านหน้าร้านค้าปลีกไร่กำนันจุล ที่ปัจจุบันมีจุดจำหน่าย (เอาต์เลต) ร่วม 20 แห่งทั่วประเทศ และสร้างรายได้ในสัดส่วน 40%
จงสฤษดิ์ บอกว่าในยุคของเขา จะหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ไร่กำนันจุลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ที่จะมองต่อไปถึงอนาคตในอีก 5-10 ปีนับจากนี้ โดยจะให้น้ำหนักการบริหารกิจการทั้งสองส่วนควบคู่กันไป ภายใต้แบรนด์ไร่กำนันจุล ที่จะต้องมีความชัดเจน มั่นคงยิ่งขึ้น ที่ปัจจุบันได้มีการปรับโฉม หรือรีแบรนดิ้งไร่กำนัลจุลแล้ว ภายใต้แนวคิด คุณค่าจากธรรมชาติ จากผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ ที่มีอยู่ในไร่ ที่เชื่อว่าจะสามารถสื่อสารและสร้างการจดจำในกลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของไร่กำนันจุลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคาแรกเตอร์แบรนด์ที่สะท้อนถึงความอบอุ่น ความเป็นแบรนด์ครอบครัว
“ปัจจุบันไร่กำนันจุล พัฒนาสินค้าเพื่อทำตลาดในช่องทางค้าปลีกมากกว่า 200 เอสเคยู ที่ผลผลิตจากไร่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ปลาในบ่อ งานทอผ้าไหม จะถูกวางไว้ภายใต้คอนเซ็ปต์ การส่งมอบคุณค่าธรรมชาติ ไปถึงมือของคนทุกคนซึ่งจุดนี้จะมีคุณรดาชญา คุ้นวงศ์ ภรรยาเข้ามาช่วยดูแลในฐานะแบรนด์เมเนเจอร์ไร่กำนันจุลด้วย” จงสฤษดิ์ ขยายภาพให้เห็นชัดขึ้น
พร้อมกับวางแนวคิดให้ผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ ภายในไร่กว่า 200 รายการ ที่มีอยู่จะต้องปรับกระบวนการผลิตสินค้าให้มีความใกล้เคียงกับการเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ หรือออร์แกนิกให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต นอกเหนือจากปัจจุบันที่กลุ่มผลิตภัณฑ์จุลไหมไทย ได้การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากยุโรป ภายใต้สัญลักษณ์ GOTS (Global Organic Textile Standard) ตั้งแต่ 3 ปีก่อน ที่ปัจจุบันจุลไหมไทย ยังได้เป็นผู้จัดส่งวัตถุดิบเส้นไหมเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องแต่งกายให้กับเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดังในยุโรปอย่างเอชแอนด์เอ็ม (H&M) ประเทศสวีเดนต่อเนื่อง 3 ปีถึงปัจจุบัน
สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกนั้น ตัวเขาเองยังได้วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยจะนำองค์ความรู้ โนว์ฮาวต่างๆ มาใช้ร่วมกับงานวิทยาศาสตร์โภชนาการ หรือ food scienceที่มีอยู่แล้วในกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป หรือในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคอย่างที่ผ่านมาได้มีการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (เพอร์ซันนัล แคร์) แบรนด์ซิลค์ ซีเคร็ท (Silk Secrets) ที่ได้จากบายโปรดักส์ ในอุตสาหกรรมเลี้ยงไหม โดยนำโปรตีนจากไหมไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ครีมบำรุงผิว โลชั่นทามือ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ เป็นต้น เพื่อทำตลาดในเอาต์เลตไร่กำนันจุลทั้ง 20 แห่ง
จากแผนพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ด้วยการนำระบบเข้าไปบริหารจัดการมากขึ้นนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่ จงสฤษดิ์ วางไว้ในอีก 10 ปีนับจากนี้ หรือในราวปี ค.ศ. 2025 (พ.ศ. 2568) จะสามารถขยายเอาต์เลตไร่กำนันจุลได้ 100 สาขาทั่วประเทศ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผนขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ อย่าง หัวหิน เขาใหญ่ซึ่งในปี 2558 นี้ เตรียมเปิดอีก 2 สาขาใหม่ ที่ อุดรธานี และสระแก้ว โดยแต่ละปีบริษัทวางงบประมาณเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจราว 30-50 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่เขามองว่าช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซนั้นจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญในการทำธุรกิจค้าปลีกในอนาคต ที่จะสามารถขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปี 2558 นี้ กิจการไร่กำนันจุล วางเป้าหมายรายได้เติบโตจากปีก่อนเพิ่มขึ้น 15-20% ซึ่งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ส่งผลกระทบมากนักกับธุรกิจค้าปลีก
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ จงสฤษดิ์ วางหมากค้าปลีกไว้เป็นหนึ่งในขุนพลหลักในกระดานธุรกิจครอบครัวไร่กำนันจุลในอนาคต


