ย้อนรอยอุบัติเหตุเกือบตาย รอดได้เพราะ ‘สติ’
มีหลายครั้งในชีวิตที่คนเรานั้นคงจะต้องมีการหลงอะไรกันสักอย่างสองอย่างในแต่ละช่วงของชีวิต
โดย...อณุสรา ทองอุไร/วิภาคย์ พูนพันธุ์
มีหลายครั้งในชีวิตที่คนเรานั้นคงจะต้องมีการหลงอะไรกันสักอย่างสองอย่างในแต่ละช่วงของชีวิต เช่น เรื่องพื้นๆ อย่างหลงทาง โตขึ้นมาหน่อยก็มักจะตกหลุมรัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนทั่วไปก็มักจะหลงกันบ้างสัก 2-3 ครั้งในชีวิต แต่กับหนุ่มหน้าใสคนนี้เขาไม่หลงแบบปกติธรรมดาอย่างเช่นคนทั่วไปมักจะหลงกัน เพราะเขาดันหลงไปในดงปลาฉลามบ้าง หลงไปในก้อนเมฆบ้าง ตามไปฟังเรื่องราวของเขากันว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และเขารอดพ้นจากสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นมาได้อย่างไร
ครั้งแรก : บินเฉียดตายเข้าไปในก้อนเมฆ
หนุ่มตี๋หน้าใส ลุคทันสมัยสไตล์เกาหลี เคยเป็นนักบินมานาน 8 ปี ก่อนจะออกมาทำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นซูชิโอของตัวเองเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ใครจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้ กวิน โตวงศ์เจริญ เขาได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ดวงแข็งรอดมาได้ทุกครั้ง จากการเรียนรู้และ “สติ” ของเขาเอง เขาบอกว่าต้องเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งที่ผ่านมาและพยายามไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
ย้อนไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมา สมัยที่เขายังเป็นนักเรียนการบิน ระหว่างฝึกซ้อมเก็บแต้มชั่วโมงบิน เขาได้นำเครื่องบินเล็กเซสน่า 172 ขึ้นจากสนามบินเล็ก ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อทำการฝึก เขาบินไปกับเพื่อนนักเรียนบินอีกลำที่บินล่วงหน้าไปก่อน ช่วงนั้นทัศนวิสัยไม่ดีอากาศเลวร้าย ครึ้มไปด้วยเมฆหนา หลังจากบินไปได้ 40 นาที เพื่อนที่ล่วงหน้าก็หายไปจากจอเรดาร์ ในช่วงบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บริเวณรอยต่อ จ.นครราชสีมา-นครนายก ซึ่งลำเขาบินจนครบรอบและกำลังจะมุ่งหน้าไปดอนเมือง
แต่ทางศูนย์ฝึกบินวิทยุมาบอกว่าให้ลองบินวนไปช่วงดังกล่าวซึ่งมีเมฆหนาให้หน่อยเพื่อไปดูเพื่อนที่หายไปว่าหลงไปแถวๆ นั้นไหม
“เพราะเพื่อนหายไปจากจอเรดาร์นานแล้ว เครื่องบินเล็กปกติจะห้ามเข้าไปในเมฆ เพราะเครื่องเล็ก 2 ที่นั่ง สมรรถนะไม่มากพอเครื่องมันจะสั่นไม่เหมือนเครื่องบินลำใหญ่ จนถึงจุดที่เพื่อนหาย ผมเลยบอกว่าขอกลับเพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย พอผมเอาเครื่องลงหลายคนมายืนรอ ถามว่าเจอไรไหม หลังจากนั้นก็เป็นข่าว หาเครื่องเพื่อนไม่เจอ สรุปว่าเครื่องเพื่อนตกหาซากไม่เจอตั้งหลายปี เพิ่งมาเจอเมื่อ 2 ปีที่แล้วนี้เอง”
หลังจากนั้นครูการบินก็สอนพวกเขาไว้เลยว่า ถ้าจะเข้าไปในเมฆให้หาทางออกไว้ก่อนเลย ไม่ใช่ว่าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเด็กๆ ชั่วโมงบินไม่ถึง 100 ชม. ยังไม่มีประสบการณ์ คือให้บินอ้อมไป หรือบินเหนือกว่าให้จำไว้เป็นบทเรียนเลย
พอหลังจากนั้นเขาก็มีบินฝึกอีกจากดอนเมืองไปที่สนามบินอู่ตะเภา วันนั้นพอดีมีเมฆเข้า (อีกแล้ว) ก้อนใหญ่มาก ออกมาช่วงบ่ายมากแล้ว ถ้าไม่รีบกลับก็จะมืดและฝนก็จะตกแล้ว พวกเขาบินมาถึงกันตอนบ่ายๆ ลงมาจอด จังหวะจะกลับมีเพื่อนบินนำขึ้นไปก่อน ซึ่งเขาก็ทักเพื่อนว่าจะกลับจริงๆ หรอ เพราะเมฆมันดำมาก และตรงสนามบินอู่ตะเภาก็จะมีแต่ภูเขากับทะเล เขารู้สึกไม่ดี คิดว่ารอก่อนไหมอย่าเพิ่งขึ้นเลย ในความจริงไม่ควรจะกลับ แต่เพื่อนกลับบอกว่าจะรีบกลับ โดยบินนำไปก่อน แล้วเขาก็บินขึ้นไปเฉียดเมฆนิดเดียว เลยวิทยุขึ้นไปถามเพื่อนว่าโอเคไหม เพื่อนที่ผ่านมันไปก่อนก็ตอบกลับมาว่าไม่มีอะไรเลยบินได้ ลำของเขาก็เลยตัดสินใจขึ้น เขาจึงมองหาทางออกเตรียมไว้ก่อนเลยว่าถ้าเจอเมฆก้อนใหญ่จะทำยังไง
“เพราะเพิ่งโดนสอนมาว่า ถ้าเจอทางขวาเราต้องอ้อมออกไปทางขวา เพราะวันนั้นผมเป็นนักบินที่ 2 เพื่อนอีกคนจะเป็นคนขับเครื่อง พอขึ้นไป เมฆก็ได้เข้ามาล้อมตัวเครื่องทันที หลบไม่ทันเราเข้าไปเต็มๆ เพื่อนพยายามจะเลี้ยวซ้ายตามรูทบิน พอเลี้ยวไปนึกว่าจะพ้นแต่เราดูทางออกเอาไว้แล้ว หลังจากนั้นเกิดเสียงดังขึ้น แน่นอนครับเครื่องสั่นอย่างแรงเหมือนกำลังจะตก ผมเลยบอกเพื่อนว่าใจเย็นๆ อย่าตกใจ แล้วบอกให้บินตามผมบอกเพราะเราติดต่อใครไม่ได้เลย ต่อมาก็เลยค่อยๆ เลี้ยวขวาก็พอจะติดต่อวิทยุได้บ้าง เครื่องเล็กหน้าจอวัดมันชอบเสีย บางทีต้องเอามือไปเคาะๆ ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้รึเปล่า ในใจก็คิดว่าเราเชื่อมันได้เหรอ พอเลี้ยวขวามาเมฆก็เริ่มจางๆ หอบังคับการบินก็บอกให้ลงจอดก่อน ผมก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ขอบินกลับสนามบินดอนเมืองเลย
หลังจากกลับมานั่งคุยกับเพื่อนบอกว่าลำผมติดอยู่ในเมฆประมาณ 30 นาที เพื่อนบอกว่าติดต่อไม่ได้นึกว่าเครื่องตกไปแล้ว ผมอยู่ข้างบนผมก็ตกใจ เพราะคิดว่าเราหายไปแค่ 10 นาทีจากจอเรดาร์ ปรากฏว่าเราติดอยู่ในก้อนเมฆนานครึ่งชั่วโมง แต่ก็ผ่านมาได้เพราะตั้งสติได้ดี เครื่องบินเล็กมันไม่มีอะไรซัพพอร์ต ถ้าหน้าปัดเสียยังไงเราก็ต้องเชื่อมัน พอเล่าให้ที่บ้านฟังเขาก็ไม่อยากให้ไปเป็นนักบินแล้ว (หัวเราะ)”
กวิน บอกว่า ประสบการณ์หลงไปติดในก้อนเมฆนี่เจออีกครั้ง ตอนเป็นนักบินแล้วเคยบินเครื่องใหญ่เข้าเมฆเหมือนกัน มีฟ้าผ่าด้วย แต่ถ้าเป็นเครื่องใหญ่สมรรถนะจะดีกว่าแต่ก็ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าฟ้าผ่าจะไหลออกท้ายเครื่อง เขาเคยหลบเมฆเป็น 100 ไมล์ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยเจออะไรแปลกๆ อีก แต่เพื่อนบางคนก็เจออะไรแปลกๆ ทุกไฟลต์บินก็ต้องลุยเพราะหลบไม่พ้น ผู้โดยสารมักไม่ค่อยจะคาดเข็มขัด ถ้ามันเกิดลอยขึ้นนี่หัวแตกเลยนะ การคาดเข็มขัดนิรภัยตามคำแนะนำถือเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
หลังจากหลายเหตุการณ์เวลาบินเขาก็จะระวังตัวตลอด จะบินเข้าก้อนเมฆให้น้อยที่สุด เขาคิดว่าตอนที่เพื่อนตก (เครื่องบินเล็ก) อาจจะเพราะเข้าไปในเมฆ แล้วหน้าปัดอาจจะบอกอะไรไม่ชัด และไม่สามารถมองเห็นอะไรเลยถ้าเข้าไปในเมฆมันมืดทึบไปหมดเดาอะไรไม่ได้เลย
ครั้งที่ 2 : สายน้ำพัดพาหลงไปดงปลาฉลาม
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เขาไปดำน้ำที่สาธารณรัฐปาเลา (Republic of Palau) เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ไปประมาณ 500 กม. โดยมีเมืองเมเลเคอ็อก (Melekeok) เป็นเมืองหลวงของประเทศ มีเมืองคอรอร์ (Koror) เป็นอีกเมืองใหญ่ และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศมาก่อน สถานที่ดังกล่าวมานี้หลายคนใฝ่ฝันอยากจะสัมผัสความสวยงามของสถานที่ เพื่อไปดำน้ำดูปลากันซึ่งทำให้เขาได้สัมผัสกับวินาทีเฉียดตายอีกครั้ง
การเฉียดของเขาครั้งนี้เพราะประสบการณ์ดำน้ำที่ยังน้อยเกินไป แล้วดันไปลงสนามใหญ่ ความประมาทของเขานี่เองทำให้เกือบเอาตัวไม่รอด คือเขาเรียนดำน้ำในขั้นแอดวานซ์ และสอบครั้งแรกที่ทะเลพัทยา เคยดำในประเทศ 2-3 ครั้ง ส่วนครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4
ทริปครั้งนี้ 4 วัน เป็นทริปดำน้ำ 11 ไดฟ์ ถือเป็นทริปใหญ่ครั้งแรกของเขาเลย โดยขึ้นเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปมะนิลา แล้วต่อเครื่องไปปาเลา ไปดำไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไร เพื่อนชวนให้ไปก็ไป พอไปถึงก็เข้าโรงแรมแล้วมีรถมารับไปไดฟ์เซ็นเตอร์ ประสบการณ์เขายังน้อยทริปนี้คือวันละ 3 ไดฟ์ นี่ถือว่าเยอะมากทีเดียว
วันที่เกิดเหตุคือวันที่ 2 ของทริปที่เขาไป โดยใช้อุปกรณ์เช่าเพราะเพิ่งดำน้ำได้ไม่นาน เลยยังไม่ได้ซื้อของตัวเอง แต่เพื่อนๆ ที่มีประสบการณ์ก็จะรู้จักวิธีการใช้ออกซิเจนและการหายใจ เขาจะมีของส่วนตัวจึงทำให้เขาเหลือออกซิเจนเยอะกว่า ในปริมาณเท่ากันคือเก่งแล้วใช้ออกซิเจนไม่เปลือง ก็จะอยู่ในน้ำได้นานกว่าปกติ ใครที่ไม่ฟิตหรือหายใจไม่เป็นก็จะเปลือง
เรื่องราวเกิดขึ้นในไดฟ์ที่ 2 ของวันที่ 2 การไปครั้งนี้ก็ประมาณ 10 คน ซึ่งปกติจะไม่ไปดำน้ำที่นี่ แต่ไกด์ทัวร์อยากให้ไป เพราะว่าสวยกว่า แต่กระแสน้ำจะแรงมาก ที่สำคัญคราวนี้เขาจะได้ดูฉลามกินเหยื่อกัน โดยมีไดฟ์ลีดเดอร์คอยดูแลนำทีม 2 คน จุดดำน้ำ Peleliu เป็นกำแพงผาใต้น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ปลายแหลมด้านใต้ของเกาะ Peleliu ด้านฝั่งทะเลฟิลิปปินส์ ฝั่งตรงข้ามกับ Yellow Wall และ Peleliu Express ที่อยู่ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่หน้าผาทั้งสองด้านมาพบกันทำให้เกิด Peleliu Corner
ถือเป็นจุดที่กระแสน้ำรุนแรงไร้ทิศทางและลึกที่สุดในน่านน้ำอาณาเขตของปาเลา ด้านบนของหน้าผา (ในน้ำ) สูงลิ่วทุกด้าน เป็นที่ราบแนวปะการังที่ส่วนปลายสุดบริเวณ Peleliu Corner มีความลึกถึง 30 เมตร ในขณะที่ส่วนบนใกล้ตัวเกาะลึกเพียง 10 เมตร ส่วนความลึกบริเวณพื้นทะเลนั้นมากมายหลายร้อยเมตร
จุดเด่นก็คือ กลุ่มเขาไปดูปลาตัวใหญ่มากๆ ได้ มีฉลามหัวค้อน แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน ตัวมันก็ใหญ่ฟันก็คมน่ากลัวแม้มันจะกินปลาเล็กๆ เป็นอาหารก็ตาม และก็เจอแมนตาด้วยคือปลากระเบนตัวใหญ่ที่สุดหรือกระเบนราหูนั่นเอง คนจะชอบมาดูกัน ตรงที่ไปนี่เป็นผาแอ่ง มองไม่เห็นก้นของท้องทะเลเลย ลึกมากเป็นเวิ้งกระทะ เวลาดำก็ต้องเกาะกันไปเรื่อยๆ แล้วก็ดำตามกันไป ไกด์ก็บอกแล้วว่าอย่าให้หลุดออกไปเพราะมีโอกาสถูกกระแสน้ำพัดไปไกลเลย ถ้าลึกเกินไดรฟ์คอมพิวเตอร์จะร้องเตือนตลอด ระหว่างที่ดำอยู่ก็จะร้องตลอดถ้าเข้าไปในสถานที่อันตราย ไกด์ลีดเดอร์ก็จะมาดึงออกไป พอเจอฉลามไกด์จะบอกให้เอาฮุกเกี่ยวไว้ แต่ทุกคนมีกล้องหมด ส่วนเขาก็มีกล้องโกโปเป็นกล้องถ่ายใต้น้ำ เขาเองจะชอบว่ายใกล้ๆ ไกด์ลีดเดอร์เพราะเวลาเห็นอะไรจะได้เห็นก่อน
“ไกด์บอกให้ขึ้น ยังไม่ทันจะขึ้น ก็โดนกระแสน้ำพาไปไกลเลย ในใจก็คิดว่าจะต้องดูฉลามให้ได้ เลยว่ายสวนกระแสน้ำหลงไปใกล้ดงฉลาม หลงไปในดงมันเลย พอจะกลับไม่ไหว ทีนี้ก็เห็นว่าทุกคนก็เกาะกันได้ ผมก็ตกใจ ตอนหลังถามไกด์ลีดเดอร์ว่าแรงสุดไหม เขาก็บอกว่ายังไม่สุดมีแรงกว่านี้อีก พอผมเกี่ยวได้ก็โดนน้ำพัดลงไปอีก พอเงยหน้าขึ้นมาทุกคนอยู่คนละทิศทางเลย จะว่ายไปก็ไม่ได้ พอจะหยิบฮุกขึ้นมาเกี่ยวอีก มือก็ยังถือกล้อง ไม่ยอมทิ้งเพราะมันแพง (หัวเราะ) คราวนี้ออกซิเจนก็กำลังจะหมดลง ผมเลยคิดว่าคงจะต้องขึ้นแล้ว แต่โชคดีที่เหลือบไปเห็นก้อนหินให้ผมเกาะพักหายใจ ผมก็เห็นไกด์อยู่ด้านหลังพอดี เขาเห็นผมเกาะได้แล้วเลยไปช่วยคนอื่นต่อ ทุกคนที่ผมเห็นไม่มีใครทิ้งกล้อง เพราะกล้องราคาเป็นแสนเลย ไกด์ก็บอกให้ปล่อยปลดฮุก คือจะไม่ดูฉลามแล้ว ก็ไม่มีใครปลด ผมก็ไม่กล้า เพราะผมกลัวว่าหลุดไปโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ อันตรายมาก พอมีน้องคนหนึ่งปล่อย ผมก็เลยปล่อยตาม ยังไงก็มองไม่เห็นก้นมหาสมุทรและก็ไม่เห็นใครเลย มันต้องพักน้ำประมาณ 3 นาที เพื่อเตรียมตัวขึ้น หันไปดูน้องที่ปลดมาก่อนน้องเขาหายไปแล้ว ผมก็เลยรีบพักน้ำแล้วก็รีบขึ้น ก็เห็นน้องอยู่ข้างบนเขาบอกว่า เขาหายใจไม่ออก จะตายอยู่แล้ว อาจเพราะน้องเขาหายใจเร็วและไม่พักน้ำ คือจริงๆ เขาจะพักน้ำแต่ไม่มีอะไรให้เกาะ เขาเลยเสี่ยง ทริปนี้มีผมกะน้องเกือบพลาดไป เราเลยไม่ค่อยสนุกเท่าไร”
ดีที่ไกด์ช่วยและคอยนับคนตลอด อีกคนหนึ่งขึ้นมาเล่าว่าน้ำซัดเข้าเต็มๆ หน้ากากมองอะไรไม่เห็นเลย ทุกคนบอกว่าวินาทีนั้นเหมือนกำลังตกเหว สุดท้ายคือคนที่อันตรายที่สุดพี่คนหนึ่งไม่มีประสบการณ์พอๆ กัน ไดฟ์นี้เห็นว่าเขาว่ายไปเกาะเชือกก็ว่ายไปหา เขาก็ชี้ให้ดูว่าออกซิเจนใกล้จะหมด จะไม่ไหวแล้ว การมาทริปนี้เพื่อจะเอาไลเซนส์ขั้นแอดวานซ์ ครั้งนี้ถือว่าเอาตัวรอดมาได้อย่างปลอดภัย เพราะน้ำยังปานกลาง ตอนแรกกำลังจะไปดำต่ออีกที่ที่น้ำแรงกว่านี้ พอเจอเหตุการณ์นี้ก็เลยไม่ไป
สรุปหลังจากเหตุการณ์นี้ ก็กลับมาดำน้ำแบบธรรมดา ไม่ได้ไปเสี่ยงแบบนั้นอีก ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ากำลังจะตายจริงๆ นี่รอดมาได้ก็เพราะสติ เพราะเคยบินมาก่อน ก็พอเอาตัวรอดได้สำหรับประสบการณ์เฉียดตาย


