สมิทธ์ พนมยงค์ หลานรัฐบุรุษอาวุโสผู้นำกองทุนยอดเยี่ยม
ถ้าจะนับรุ่นที่ 3 ของพนมยงค์ ในยุคนี้ที่เป็นที่รู้จักในแวดวงการเงินดี คือ สมิทธ์ พนมยงค์
โดย...เจียรนัย อุตะมะ ภาพ... กิจจา อภิชนรจเรข
ถ้าจะนับรุ่นที่ 3 ของพนมยงค์ ในยุคนี้ที่เป็นที่รู้จักในแวดวงการเงินดี คือ สมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ที่เพิ่งเดินทางไปรับรางวัลจากฮ่องกงมาหมาดๆ 2 รางวัล คือ กองทุนรวมยอดเยี่ยมแห่งปี 2558 จากนิตยสารเอเชียนอินเวสเตอร์ และรางวัลผู้จัดการกองทุนบำเหน็จบำนาญยอดเยี่ยมปี 2558 จากนิตยสารเอเชีย แอสเสท แมเนจเมนท์ นับว่าเป็นการฉลองครบรอบการเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แห่งนี้ได้ครบปีพอดี
สมิทธ์ วัย 43 ปี เป็นหลานชายของ หลุย พนมยงค์ คุณปู่ของเขาที่เป็นน้องชายของ ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ได้รับพระราชทานเป็นรัฐบุรุษอาวุโส ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล หรือ ร.8
เขาเป็นญาติกับ อริยะ พนมยงค์ วัย 41 ปี หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ กูเกิล ประเทศไทย หลานชายของปู่อีกท่านหนึ่งที่่เป็นน้องชายปรีดีเช่นเดียวกัน
เรียกได้ว่า สมิทธ์มีสายเลือดพนมยงค์จากปู่ของเขาเข้มข้น ที่เลือกเดินมาทางสายการเงินและได้ดีในวิชาชีพนี้ เพราะปู่ของเขาเป็นกรรมการผู้จัดการคนแรกของบริษัท ประกันคุ้มภัย และผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา
สมิทธ์ เล่าว่า บิดา ชื่อ สมคิด เป็นนักธุรกิจนำเข้าและส่งออกเครื่องจักร แต่ไม่อยากทำกิจการส่วนตัวเหมือนครอบครัว เพราะช่วงเรียนชั้นประถมธุรกิจของที่บ้านขาดทุน บริษัทต้องให้พนักงานเก่าแก่ลาออก ดังนั้นจึงมีเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะเป็นมืออาชีพ
ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนดีห้องคิง เตรียมอุดมศึกษา ในยุคนั้นถ้าเรียนเก่งต้องมุ่งเรียนวิศวะหรือหมอ แต่ความที่เป็นคนกลัวเลือด จึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นบินไปเรียนต่อปริญญาตรีอีกใบที่สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรีด สหรัฐ ที่รีดนี้เป็นสถาบันขึ้นชื่อด้านศิลปะ มหาวิทยาลัยเดียวกับ สตีฟ จ็อบส์
หลังเรียนจบจากรีด เขาตั้งเป้าหมายอยากเป็นวาณิชธนากร ปี 2538-2539 อยากทำงานที่บริษัท โซโลมอน บราเธอร์ส แต่สัมภาษณ์ไม่ผ่าน เพราะภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง แถมเป็นคนต่างชาติ แต่ตื๊อของานทำเป็นพนักงานส่งเอกสารตามห้องผู้บริหารในบริษัทดังกล่าว จนกระทั่งผู้บริหารรู้จักและให้ไปช่วยงานวิเคราะห์ จัดพอร์ตลงทุนให้ลูกค้า มีประสบการณ์ 1 ปี หลังจากนั้นมาเรียนต่อปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ
จบกลับมาปี 2540 ที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ยื่นใบสมัครงานกว่า 100 แห่ง สุดท้ายได้มาทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คาเธ่ย์แคปปิตอล และเป็นนักเศรษฐศาสตร์หน้าใหม่ที่กล้าฟันธงระดับค่าเงินบาทน่าจะมีเสถียรภาพที่ 40-42 บาท/เหรียญสหรัฐ หลังจากที่ตอนนั้นผลการประกาศค่าเงินบาทลอยตัว
ต่อมาได้งานที่ซิตี้กรุ๊ป และมีประสบการณ์ที่องค์กรแห่งนี้นานถึง 13 ปี ที่เริ่มจากลอนดอน โปแลนด์ เซี่ยงไฮ้ ตรินิแดด ฮ่องกง อินเดีย โดยช่วงปี 2547-2548 มาประจำที่ประเทศไทย ช่วงนี้เองเขาได้ตัดสินใจแต่งงาน
เขากล่าวว่า ซิตี้กรุ๊ปเป็นแหล่งสั่งสมความรู้ที่ดีเยี่ยม เพราะได้เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย โดยแต่ละประเทศที่มีโอกาสได้ไปเรียนและทำงานก็มักจะเลือกไปประเทศที่เศรษฐกิจกำลังแย่ หรือกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนาและมีโอกาสเติบโตในอนาคต อย่างเช่น การไปประเมินมูลค่าธุรกิจเพื่อซื้อกิจการหรือควบรวมไอทีแห่งหนึ่งในอินเดีย ทำให้ซิตี้กรุ๊ปได้เข้าไปซื้อกิจการบริษัทดังกล่าวในราคาที่ถูกกว่า หรือในกรณีอินโดนีเซียที่เศรษฐกิจประสบปัญหา ซิตี้กรุ๊ปสามารถหาเงินมาช่วยบริษัทสื่อสารแห่งหนึ่งได้ แม้บริษัทอยู่ในสถานภาพเกือบล้มละลายและอันดับเครดิตไม่ดี ไม่สามารถขอสินเชื่อได้
ต่อมาได้เข้าทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์จากคำชวนของรุ่นพี่ที่สนิทที่เป็นเพื่อนกับ “อาทิตย์ นันทวิทยา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดูด้านธุรกิจรายใหญ่ ตามนโยบายที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน
การเข้ามาทำงานที่ SCB ทำให้ได้สัมผัสงานเบื้องหน้าที่ต้องสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าโดยตรง ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายวางแผนและกลยุทธ์ของ SCB และตั้งแต่เดือน พ.ค. 2557 ได้เข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยตั้งเป้าว่า ปี 2557 สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) จะต้องแตะ 1 ล้านล้านบาท และเป็นไปตามเป้าหมายตั้งแต่เดือน ส.ค. 2557 ปัจจุบันกองทุนภายใต้การบริหารงานของ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 1.1 ล้านล้านบาท เป็นอันดับสองรองจาก บลจ.กสิกรไทย โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารต่างกันเพียงหลักหมื่นล้านบาท
ปี 2556 บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 8.4 แสนล้านบาท ปี 2557 เพิ่มขึ้น 21% เป็น 1 ล้านล้านบาท และ 5 เดือนแรกปีนี้ที่ 1.05 ล้านล้านบาท
สมิทธ์ เชื่อว่า ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ เพียงแต่ต้องกล้าทำ โดยรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมปี 2558 ที่ได้จากนิตยสารเอเชียนอินเวสเตอร์ นับว่าเป็น บลจ.ไทยแห่งเดียวที่ได้รางวัลนี้ แม้แต่กองทุนที่ได้ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ก็ยังไม่ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะมอร์นิ่งสตาร์ได้วัดผลงาน 5 ปี แต่เขาเพิ่งเข้ามาบริหาร บลจ.แห่งนี้ได้เพียงปีเดียวและมีการจัดการเชิงรุก
หลักการทำงานของสมิทธ์ที่ทำให้ได้รางวัลจากนานาชาติมาครองถึงสองรางวัล คือ ประการแรก เน้นการทำงานเป็นทีมมีการประสานงานกันมากขึ้นระหว่างผู้จัดการกองทุนที่มีทั้งหมด 60 กว่าคน ประการที่สอง ปลดล็อกความเชื่อเดิมให้มีการลงทุนให้เปิดกว้างขึ้น จากเดิมลงทุนได้เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100-120 ปัจจุบันลงทุนหุ้นได้ทั้งหมด 250 บริษัท รวมถึงหุ้นที่มีขนาดเล็กกว่าแต่มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยมีการติดตามความเสี่ยงแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนกล้าตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น จากเดิมที่รู้ความเสี่ยงเป็นรายสัปดาห์
ประการที่สาม ออกผลิตภัณฑ์ได้ทันสถานการณ์มากขึ้น โดยไม่จำเป็นว่าต้องออกผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่
“หลายปีก่อนเรามักจะออกผลิตภัณฑ์ตอนช่วงตลาดใกล้วาย เพราะต้องมั่นใจในสถานการณ์เต็มที่ ซึ่งไม่ทันการณ์ แต่ปัจจุบันยืดหยุ่นออกขนาดเล็กลง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วต้องทำให้ทัน เราต้องพร้อมที่จะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้ลูกค้าเลือกโยกเงินไปมาได้ กระจายความเสี่ยง”
เขากล่าวว่า ข้อเสียเปรียบของ บลจ.ไทยพาณิชย์ คือ กองทุนเป็นเจ้าตลาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ผลตอบแทนดี แต่กองทุนลงทุนในกองของตัวเองไม่ได้
สมิทธ์ กล่าวว่า การทำงานของกองทุนปัจจุบันต้องรวดเร็ว ต้องมีการสื่อสารทุกทางได้ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง มีไลน์กลุ่มที่สามารถส่งข้อมูลให้ทุกคนรู้ได้
กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีความเป็นห่วงอุตสาหกรรมกองทุนรวมว่าควรมีผลิตภัณฑ์ลงทุนที่หลากหลายขึ้น ขณะนี้กฎ ก.ล.ต.มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์แปลกใหม่ได้ ทำให้กองทุนในประเทศขาดประสบการณ์ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อน
นอกจากนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ จะใช้สูตรคณิตศาสตร์มาช่วยตัดสินใจในการลงทุนมากขึ้น เพื่อให้ได้หุ้นดี ราคาถูก มีกำไรมาก การตัดสินใจจะต้องออกมาเป็นโจทย์สั้นๆ ผูกสูตรได้ โดยกองทุนต่างประเทศ 60-70% ต้องใช้สูตรคณิตศาสตร์ เทียบกองทุนในไทยใช้สูตรน้อยมาก
ด้วยนโยบายนี้จะใช้ลงทุนในกองทุนเก็งกำไรดัชนี เป็นเทคนิคในการบริหารสินทรัพย์ ดังนั้นผู้จัดการกองทุนรุ่นใหม่นอกจากต้องวิเคราะห์หุ้นเก่งแล้ว ต้องคล่องตัวในการใช้โมเดลคณิตศาสตร์ด้วย
“เด็กรุ่นใหม่ต้องเก่งกว่าผม ต้องเก่งทั้งคณิตศาสตร์และเก่งด้านการวิเคราะห์”
ช่วงปี 2553-2554 ขนาดสินทรัพย์ บลจ.ไทยพาณิชย์ เคยเป็นอันดับหนึ่ง แต่ภายหลังเรือดำน้ำเกาหลีเหนือยิงเกาหลีใต้ทำให้หยุดออกผลิตภัณฑ์ ทำให้ขนาดกองทุนเล็กลง และคู่แข่งแซงหน้าห่างกัน 3-7 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากนั้นได้มีการออกผลิตภัณฑ์มากขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันอันดับหนึ่งและอันดับสอง ห่างกันเพียงเล็กน้อย
เขากล่าวว่า สังคมไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ จะทำอย่างไรให้ประชาชนตระหนักถึงเรื่องนี้ จะต้องมีผลิตภัณธ์ทางเลือกที่ทำให้มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ขณะที่หุ้นไทยสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนสูงที่สุดเฉลี่ย 15% ต่อปี มา 10 ปีแล้ว และจะไม่เป็นอย่างนี้ไปตลอด ต่อไปจะเข้าสู่ยุคผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสู้ประเทศอื่นไม่ได้ ทำอย่างไรคนไทยจึงจะมีช่องทางลงทุนในตลาดต่างๆ ให้ได้ผลตอบแทนดี และทำอย่างไรให้ผู้จัดการกองทุนของไทยเก่งกว่าผู้จัดการกองทุนภูมิภาคเอเชีย


