หลวงปู่สุภา กันตสีโลบัวบานแห่งเมืองภูเก็ต
หากไล่นามของครูบาอาจารย์องค์สำคัญในถิ่นภาคใต้ของไทยแล้ว รายนามนั้นจะสมบูรณ์ไปมิได้หากขาดชื่อของ หลวงปู่สุภา กันตสีโล แห่งวัดสีลสุภาราม (วัดหลวงปู่สุภา) ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
หากไล่นามของครูบาอาจารย์องค์สำคัญในถิ่นภาคใต้ของไทยแล้ว รายนามนั้นจะสมบูรณ์ไปมิได้หากขาดชื่อของ หลวงปู่สุภา กันตสีโล แห่งวัดสีลสุภาราม (วัดหลวงปู่สุภา) ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
เหตุผลประการแรกคือ ท่านเป็นหนึ่งพระสงฆ์องค์สำคัญในสายวิปัสสนากรรมฐานที่เดินทางมาปักหลักเผยแผ่ธรรมะในดินแดนภาคใต้ก่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธาแก่สาธุชนในวงกว้าง
ประการที่สอง หลวงปู่สุภา นับเป็นหนึ่งในพระสงฆ์ผู้มีอายุยืนยาวที่สุดรูปหนึ่ง โดยปัจจุบันท่านดำรงขันธ์อย่างแข็งแรงด้วยอายุ 115 ปี และยังเมตตาโปรดญาติโยมที่เดินทางมาเยี่ยมที่วัดอยู่เสมอ
หลวงปู่สุภา มีนามเดิมว่า สุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2439 ที่บ้านคำบ่อ ต.คำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เป็นบุตรคนที่ 8 ของสกุลวงศ์ภาคำ โดยบิดาของท่านเป็น ผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กชายสุภาเป็นไปเช่นเด็กทั่วไปในยุคนั้น ที่จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านเมื่อพ่อแม่พาไปฝากเรียนหนังสือ|ที่วัด ทำให้เด็กชายสุภามีจิตใจโน้มทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย
ครั้นอายุ 7 ขวบ ระหว่างที่วิ่งเล่นอยู่ชายทุ่งใกล้บ้าน ก็ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่งที่มาปักกลดอยู่ใกล้ๆ ในบริเวณนั้น จึงผละออกจากกลุ่มเพื่อนและตรงเข้าไปกราบ พระธุดงค์รูปนั้นพินิจลักษณะของเด็กชายสุภาอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวกับเด็กชายสุภา ว่า “ต่อไปภายหน้าจะได้บวช และเมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหา”
ภิกษุรูปนั้นคือ หลวงปู่สีทัตต์ แห่งวัดท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งต่อมาเป็นพระอาจารย์ที่หลวงปู่สุภาได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์ และอยู่รับการอบรมวิปัสสนากรรมฐานด้วย
คล้อยหลังจากที่ได้พบกับหลวงปู่สีทัตต์เพียง 2 ปี เด็กชายสุภาก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตามที่ได้ถูกทำนายไว้ โดยได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดในหมู่บ้าน สามเณรสุภาศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ได้เพียง 1 ปี พระอุปัชฌาย์ก็นำตัวมาฝากให้เรียนธรรมบาลีที่สำนักเรียนของพระมหาหล้า แห่งวัดไพรใหญ่ จ.อุบลราชธานี
พระมหาหล้าได้สอนสามเณรสุภาให้ร่ำเรียนตำรา “มูลกัจจายน์” จนจบ 5 เล่ม ขณะอายุได้ 16 ปีพอดี เมื่อร่ำเรียนตำราจบแล้ว สามเณรสุภาจึงถามผู้เป็นอาจารย์ขึ้นว่า หากจะเรียนต่อไปจะไปทางไหนดี
พระมหาหล้าจึงตอบกลับมาว่า “มีอยู่สองทางคือ ไปเรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ หรือไปเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เธอใคร่ครวญให้รอบคอบ แล้วจึงตัดสินใจ”
ด้วยต้องการหาความสงบวิเวกทางจิต สามเณรสุภาจึงเลือกออกเดินบนเส้นทางสายวิปัสสนากรรมฐาน และได้กราบลาพระมหาหล้าออกเดินทางมาพบหลวงปู่สีทัตต์ ที่วัดท่าอุเทน จ.นครพนม เนื่องจากมีญาติโยมบอกว่า หลวงปู่สุทัตต์เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มากด้วยเมตตาบารมี
เมื่อพบกัน หลวงปู่สุทัตต์ ก็จำสามเณรสุภาได้ตั้งแต่แรกเห็น จึงยินดียอมรับไว้เป็นศิษย์เมื่อสามเณรสุภากราบขอถวายตัวเพื่ออยู่ฝึกปฏิบัติภาวนาด้วย
หลวงปู่สุภา ถ่ายทอดช่วงเวลาที่อยู่กับหลวงปู่สุทัตต์เอาไว้ในหนังสือบันทึกประวัติของท่านว่า “พระอาจารย์สีทัตต์ทดสอบความอดทนของสามเณร ตั้งแต่การขบฉัน การทำงานหนักในการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน และการทดสอบด้านจิตใจ จนแน่ใจว่าจะทนรับการสอนที่หนักหนาสาหัสในการที่จะเรียนวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเริ่มสอนด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า ‘พุทโธ’ ตั้งแต่แรก”
เมื่อเห็นศิษย์มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ พระอาจารย์จึงพาออกธุดงค์ข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว และได้พำนักฝึกภาวนาอยู่ในถ้ำภูเขาควาย ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานหลายองค์ได้เดินธุดงค์มาฝึกภาวนา
ณ ถ้ำภูเขาควายนี่เอง สามเณรสุภาจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีหลวงปู่สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำภูเขาควายเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์
หลวงปู่สุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สุทัตต์เพื่อฝึกปฏิบัติภาวนาอยู่นานถึง 8 ปี จึงกราบลาพระอาจารย์ออกธุดงค์เพียงลำพัง หลวงปู่สุทัตต์จึงแนะนำให้ออกจากภูเขาควายมุ่งตรงไปยังท่าเดื่อ จากนั้นตรงไปยังหนองคาย และเร่งไปทางเหนือก็จะพบกับครูบาอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่ง
พระอาจารย์กำชับว่า “เดินธุดงค์ให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่าอยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง” ครั้นเดินทางมาถึงหนองคาย หลวงปู่สุภาก็ต่อรถเข้ากรุงเทพฯ
ท่านได้ทราบว่าที่ จ.ชัยนาท มีพระอาจารย์ผู้สอนวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท จึงมุ่งตรงไปยังที่นั่น และได้พบกับ หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงได้กราบถวายตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงปู่ศุขนับเป็นพระอาจารย์องค์ที่สองของหลวงปู่สุภา
อยู่ปฏิบัติกับพระอาจารย์องค์ที่สองได้ 3 ปี หลวงปู่สุภาก็กราบลาออกธุดงค์อีกครั้ง ซึ่งการธุดงค์ครั้งนี้เป็นการธุดงค์ที่ยาวนานและยาวไกลไปถึงทวีปยุโรป โดยเริ่มจากประเทศพม่า ต่อเนื่องไปถึงเทือกเขาหิมาลัยประเทศอินเดียและอัฟกานิสถานซึ่งอยู่ติดกัน
จากนั้นได้ธุดงค์ต่อไปยังเทือกเขาซิมซัวในประเทศจีน และได้ฝึกเรียนวิชาลมปราณจากพระจีนรูปหนึ่งบนเทือกเขาแห่งนั้นเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นจึงลงเรือจากปักกิ่งธุดงค์ต่อไปยังนครปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเดินทางต่อไปยังประเทศในฝั่งยุโรปตะวันออกกลางอีกหลายประเทศ ซึ่งในการออกธุดงค์นั้นไม่ว่าอยู่ที่ใด ธุดงควัตรของท่านก็ไม่เคยบกพร่อง โดยหลวงปู่จะออกบิณฑบาตทุกวันไม่เคยละเว้น ด้วยถือว่าธุดงควัตรนั้นเป็นกฎระเบียบและหัวใจของพระธุดงค์
จากยุโรปตะวันออก หลวงปู่จึงธุดงค์กลับมาตามเส้นทางเดิม ผ่านจีน ผ่านอินเดีย ผ่านพม่า ลาว เและเข้าสู่ดินแดนไทยทางด้าน อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งนับเป็นการเสร็จสิ้นการธุดงค์บนเส้นทางอันยาวไกลของท่าน
ซึ่งแม้จะกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว แต่หลวงปู่สุภาก็ยังไม่หยุดธุดงค์ โดยท่านยังคงออกเดินทางหาสถานที่สงบวิเวกเพื่อปฏิบัติภาวนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ว่าท่านจะเดินทางไปยังที่แห่งใด หลวงปู่จะสร้างความเจริญไว้เสมอ เช่น สร้างวัด สร้างศาลาการเปรียญ สร้างสำนักสงฆ์ สร้างเสนาสนะต่างๆ ในถิ่นทุรกันดาร แต่ท่านก็ยังไม่ตกลงปลงใจที่อยู่จำวัดที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ ระหว่างที่ธุดงค์อยู่ในแถบภาคเหนือ หลวงปู่สุภายังมีโอกาสพบ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้อยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกันที่ถ้ำเชียงดาว เป็นเวลานานถึง 3 ปี ซึ่งหลวงปู่ได้เล่าถึงการอยู่ปฏิบัติกับพระอาจารย์มั่นเอาไว้ว่า “หลวงปู่มั่นสอนได้ดีมาก ในเรื่องการทำจิตให้เข้าถึงจิต”
ท่านธุดงค์อยู่ในแถบภาคเหนือและอีสานอยู่จนกระทั่งปี 2502 จึงได้ตัดสินใจเดินทางธุดงค์ลงไปยังภาคใต้ตอนล่าง โดยได้เลยไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ ก่อนจะกลับมาพำนักที่ จ.ภูเก็ต ระหว่างนั้นท่านได้ประสงค์ที่จะสร้างวัดขึ้นที่ จ.ภูเก็ต แต่ยังไม่มีสถานที่เหมาะสม จนคืนหนึ่งได้เกิดนิมิตเห็นภิกษุชรารูปหนึ่ง ได้แนะนำให้ออกธุดงค์ไปยังเกาะสิเหร่ เมื่อตื่นขึ้นมาท่านจึงออกเดินทางไปยังเกาะสิเหร่
ที่นั่นท่านจึงได้พบกับโยมผู้ชายนาม แป๊ะหลี ได้ถวายที่ดินบนเกาะให้หลวงปู่สุภาสร้างวัดขึ้น จนกลายมาเป็นวัดเขาเกาะสิเหร่ในปัจจุบัน รวมทั้งหลวงปู่ยังสร้างพระพุทธไสยาสน์ความยาว 20 เมตร ขึ้นภายในวัด ซึ่งนับเป็นปูชนียวัตถุสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ประการหนึ่งของ จ.ภูเก็ต
นอกจากนี้ ท่านยังได้สร้างสำนักสงฆ์เทพขจรจิตและพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขารัง ซึ่งพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวถือเป็นพระพุทธรูปนั่งที่ใหญ่ที่สุดในเกาะภูเก็ต รวมถึงสร้างตึกสงฆ์อาพาธในโรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต เนื่องจากเห็นว่าในแถบภาคใต้ยังไม่มีสถานพยาบาลสงฆ์อาพาธโดยเฉพาะ ซึ่งทุกครั้งที่ท่านประสงค์จะสร้างสิ่งใดก็จะมีผู้เคารพศรัทธามาร่วมกันสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทำให้การดำเนินการทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แม้จะอายุล่วงกว่า 110 ปีแล้ว แต่ศีลาจารวัตรของหลวงปู่สุภา ก็ยังมิเคยบกพร่อง ท่านยังคงมั่นคงแน่วแน่ในธรรมและเมตตาสั่งสอนบรรดาศิษย์อยู่เสมอ ซึ่งท่านสอนว่า “ไม่ให้ยึดติดกับอิทธิปาฏิหาริย์ ปรากฏการณ์ แต่ให้ทุกคนหมั่นปฏิบัติ น้อมระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย และหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นสำคัญ
ท่านว่า “ทำจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้มีโลภ อย่าให้มีหลง ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์งดงามเป็นคนดี มีพุทธองค์และพระธรรมประทับอยู่ในดวงใจ ผู้นั้นย่อมประทับอยู่ในใจของผู้คนตลอดไป ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด”
นี่คือ หลวงปู่สุภา กันตสีโล หนึ่งในสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ควรแก่การกราบนมัสการยิ่ง
**************************
"พระเสด็จกลับ"วัตถุมงคลหลวงปู่สุภา
พระเสด็จกลับเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการกล่าวขานในหมู่ศิษยานุศิษย์ ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของหลวงปู่สุภา โดยประวัติการสร้างพระเสด็จกลับเริ่มขึ้นหลังจากที่หลวงปู่สุภา ได้สร้างวัดที่เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต เสร็จตั้งแต่ปี 2504 พร้อมทั้งได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ ประดิษฐานไว้บนยอดเขาเกาะสิเหร่
ท่านได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานแววพระเนตร จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้ตามความปรารถนา
หากแต่พระพุทธไสยาสน์องค์นั้นยังมิได้มีวิหารครอบคลุม เป็นเพียงแต่ใช้สังกะสีมุงไว้เท่านั้น หลวงปู่สุภาจึงมีความประสงค์ที่จะสร้างพระวิหารครอบคลุมพระพุทธไสยาสน์เป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลเพื่อให้สมพระเกียรติ แต่ยังขาดปัจจัยในการสร้างอีกมาก
หลวงปู่จึงได้ทำการสร้างพระเสด็จกลับ เพื่อหาปัจจัยทำการดังกล่าว โดยมีการทำพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2506 และเริ่มแจกจ่ายให้ญาติโยมในวันที่ 25 ม.ค. 2507
พระเสด็จกลับหลวงปู่สุภาจัดสร้างขึ้นทั้งสิ้นจำนวน 8.4 หมื่นองค์ โดยมีความพิเศษตรงที่หลวงปู่ได้นำแร่ธาตุและว่านยา ที่สะสมไว้ตั้งแต่ครั้งที่เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ มาเป็นส่วนผสมในการจัดทำ
ชื่อเรียก “พระเสด็จกลับ” เกิดขึ้นจากการที่หลวงปู่สุภาได้นำเอาพระในพิธีจำนวนหนึ่งไปอาราธนาลงในแม่น้ำ และมาทำพิธีเรียกให้เสด็จกลับ ซึ่งพระทุกองค์ที่หลวงปู่อาราธนาลงในแม่น้ำนั้น ได้เสด็จกลับมาหมดทุกองค์ภายใน 6-7 วัน
ที่สำคัญคือหากผู้ที่ได้รับพระเสด็จกลับไปบูชาแล้วไม่ระวังรักษาด้วยความเคารพ ท่านก็จะเสด็จหนีจากบุคคลผู้นั้นไป


