ฝันร้าย ในความทรงจำ ของ ดร.ป๊อป
ถ้าวันนั้นเขาคิดที่จะกลืนยานอนหลับกำใหญ่ลงท้อง วันนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยกับเรา
ถ้าวันนั้นเขาคิดที่จะกลืนยานอนหลับกำใหญ่ลงท้อง วันนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยกับเรา (และมีผลงานเขียนเล่มล่าสุด Fate Diary) แน่ๆ
ผ่านช่วงเลวร้ายในชีวิตมาได้ แต่ร่องรอยบาดแผลยังอยู่ ความทรงจำของหนุ่มวัย 30 ไม่เคยลืมเลือนไปกับกาลเวลา เขาค่อยๆ ย้อนภาพความคิดที่อยากจะหยุดลมหายใจตัวเองให้เราฟังราวกับฉากภาพยนตร์ชีวิตเรื่องหนึ่ง
‘หลุมดำ’ ที่เรียกว่า ‘ความสำเร็จ’
ไม่ผิดหากความสำเร็จจะวิ่งเข้าใส่ “ป๊อป-ฐาวรา สิริพิพัฒน์” หรือ “ดร.ป๊อป” ในฐานะนามปากกาวงการนักเขียน เพราะความสำเร็จนั้นมาจากตัวเขาล้วนๆ เขาเก่ง อันนี้ต้องยอมรับ เขาเจ๋ง อันนี้ไม่มีใครปฏิเสธ เขาโตกว่าวัย ความคิดความอ่านล้ำหน้าเกินเพื่อนวัยเดียวกัน อายุ 17 ปี ป๊อปมีผลงานนวนิยายซีรี่ส์แนววิทยาศาสตร์-แฟนตาซี The White Road ทันทีที่วางบนแผง ยอดขายก็ถล่มทลายและทำให้เขากลายเป็นที่รู้จัก “ชั่วข้ามคืน”
ถัดจากนั้น ชื่อเสียง เงินทอง คำชื่นชม ก็หลั่งไหลมาไม่ขาด เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยลิ้มรสสิ่งเหล่านี้ย่อมจะถลำลึกกับความหอมหวานแสนเย้ายวน ยิ่งนานวันความสำเร็จก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวี ผลงานชิ้นแล้วชิ้นเล่าของเขาทยอยออกมาสู่ผู้อ่าน The Series of Sion ตามด้วย Girls & A Doll และ Boys & A Doll จนก่อเกิดเป็นความนิยมในตัวเจ้าของผลงานแบบฉุดไม่อยู่
ในวันที่ทุกสายๆ ตาจับจ้องมอง พร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ต่อทั้งตัวเขาและผลงาน เด็กหนุ่มมากด้วยพรสวรรค์ ซึ่งรักหนังสือ รักการเขียน สนใจเกม ชอบสนทนาปราศรัย ตลอดจนถวิลหาดนตรี ก็กลับฮึกเหิม หัวใจพองโต คิดว่าตัวเองเป็นที่สุด เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครเทียบเท่า ข้านี่ละเก่งและเจ๋ง ใครก็อย่าริมาแหย็ม (นะว้อย!!)
“พอมีชื่อเสียงผมรู้สึกว่าตัวมันใหญ่ขึ้นนะ ความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ความยโสโอหัง มันมาจากไหนไม่รู้ ตอนนั้นเหมือนมันอยู่ในช่วงเวลาที่ผมทำอะไรก็ได้ ทุกคนต้องทำตามผมหมด อายุ 17 ปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมอยู่ ม.5 แต่งานเขียนของผมกลับดังระดับประเทศไปแล้ว ก็ค่อนข้างสับสนอยู่เหมือนกันครับ เพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี คิดดูสิ มีคนเข้ามาขอลายเซ็น ขอถ่ายรูป โห!! มันยิ่งใหญ่มากนะ แล้วจู่ๆ มันก็เกิดภาวะที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เก่งที่สุด เจ๋งที่สุด ดีที่สุด เก๋าว่ะ ดังว่ะ เป็นความภูมิใจและเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน”
ความสำเร็จยังคงเดินเข้ามาหาป๊อปไม่หยุด และดูเหมือนเขาก็พอใจที่จะอ้าแขนต้อนรับ ยิ่งเมื่อความคิดที่ว่าตัวเองคือศูนย์กลางจักรวาล หัวใจของป๊อปก็ยิ่งขยับขยายมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกขณะ ไม่มีอะไรหรือใครหยุดยั้งเขาได้ แต่ละก้าวย่างเดินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีกลัว ไม่มีถอย มากกว่านั้น เขาไม่แคร์ใครทั้งสิ้น
“ตอนที่ The White Road วางแผงมันก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก ซึ่งผมไม่เคยโดนวิจารณ์หนักแบบนี้เลย ที่ผ่านมามันก็แค่ถูกวิจารณ์ในสังคมโรงเรียน แต่นี่คือมาทุกช่องทางเลย วิจารณ์ดีก็มี วิจารณ์ลบก็มี แต่ผมดันไปให้ค่ากับคำด่า เสียศูนย์ ปั่นป่วน ผมก็เลยพยายามสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง แข็งข้อ ต่อต้าน กบฏ โดยเลือกจะระรานคนอื่นด้วยคาแรกเตอร์มั่นใจเกินเหตุ ไม่สนอะไรทั้งนั้น ย้อมสีผมแดง ใส่กำไลหนามติดโซ่ไปเรียน จำได้ว่าผมทำอะไรก็โดนด่าหมดเลย กินข้าวเหนียวปิ้งก็โดนด่า ไม่เอนทรานซ์อักษรศาสตร์ก็โดนด่า เหมือนทุกคนจ้องจับผิดผม ก็ในเมื่อร้ายใส่ผมใช่มั้ย ผมก็เลยร้ายใส่บ้าง (หัวเราะร่วน)
ใครทำอะไรไม่พอใจให้ก็ยกนิ้วกลางใส่ ใครนินทาก็ทุบโต๊ะท้าทายว่ามีอะไรป๊ะ มันก็ดำเนินมาเรื่อยจนเรียนจบมหาวิทยาลัย พอมาทำงานประจำที่นานมีบุ๊คส์ก็ยังเป็นอยู่นะครับ ทีนี้มันก็ลามมาถึงทีมงานเพื่อนร่วมงานละ ใครไม่ได้ดั่งใจก็ตู้มต้ามเลยนะ เหวี่ยงเลย ด่าเลย วุฒิภาวะทางอารมณ์ของผมตอนนั้นแย่มากครับ กระทั่งปีที่แล้วคนรอบข้างก็ค่อยๆ ทิ้งผมไป คนที่ผมรักมากก็ทิ้งผม แล้วไม่ใช่คนเดียว แต่มันมีหลายคนที่รู้สึกแบบเดียวกันและค่อยๆ พากันออกไปจากชีวิตผม ซึ่งก่อนหน้าผมจะพูดเสมอว่า กูเป็นเดอะคิง กูเป็นที่หนึ่ง กูเลือกได้ กูเป็นโอนเนอร์ เอเวรี่ติง กูดัง กูมีชื่อเสียง กูมีเงิน แต่กลายเป็นว่าผมก็ไม่สามารถรักษาสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตมันก็เลยสั่นสะท้านครับ โทษคนอื่น ไม่ได้โทษตัวเอง คนอื่นผิด ตัวเองถูก ท้ายที่สุด ผมก็เกิดความคิดว่า ในเมื่อมึงไม่เอากู ในเมื่อโลกไม่น่าอยู ในเมื่อโลกมันโหดร้าย กูไม่อยู่ละ”
ดราม่าชีวิต…คิดลาโลก
16 ก.พ. 2557 เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของชายหนุ่ม เขาก้าวเท้าออกจากบ้าน สีหน้าเคร่งขรึม แววตาดุดัน สมองคิดแค่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างจากนี้ไป ด้วยความไม่พอใจโลก ไม่พอใจสังคม ไม่พอใจคนรอบข้าง ประกอบกับอาการปวดศีรษะกำเริบ ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่านั่นอาจเป็นสัญญาณโรคเนื้องอกในสมอง แล้วไหนจะเรื่องความรักที่จบลงอย่างไม่สวยงาม เท่านั้นล่ะ เขาจึงได้แต่บอกกับตัวเอง “ไม่อยู่ดีกว่า”
จุดหมายของป๊อปอยู่ที่พัทยา เขาเลือกที่นี่ด้วยว่าไม่ใช่พื้นที่คุ้นเคย อย่างน้อยๆ ก็ปลอดจากคนที่จะเข้ามาทัก ซึ่งนั่นหมายถึงการที่จะรอดพ้นจากสายตาเพ่งมอง อีกทั้งยังเป็นย่านชุมชนที่เขาบอกว่าสะดวกสบาย ใกล้แหล่งความเจริญ
“ผมจะเป็นพวกประเภทติดความเจริญครับ ป่าเขานี่ไม่ใช่ผมเลย เพราะหาของกินยาก (หัวเราะร่วน) ผมอยู่ไม่ได้หรอกถ้าที่ไหนลำบาก เพราะติดสบายมาตั้งแต่เด็ก ที่อื่นผมเคยไปเดินสายไปพูดมาเกือบหมดละ มีพัทยาที่เดียวที่ผมไม่เคยไป ผมก็เลยเลือกพัทยา อย่างน้อยๆ คนที่ไม่ใช่นักอ่าน หรือคนที่เคยฟังผมขึ้นพูด ก็จะจำไม่ได้ ไม่มีปลอมตัวเลยครับ เข้าพักในโรงแรมตามปกติ โรงแรมก็ราคาถูกๆ ก็มีนะครับที่บางคนมองหน้าแล้วยิ้มๆ มาทัก บางคนก็ถามว่าคุ้นๆ หน้านะเรา แต่ผมก็พยายามเลี่ยงไม่สุงสิง หรือชวนคุยต่อ วางแผนไว้ดิบดี ถ้าขึ้นเครื่องบินก็จะตามตัวได้ ผมก็เลือกที่นั่งรถตู้มาที่พัทยา”
มือกำยานอนหลับจากขวดที่เตรียมไว้ จดหมายลาโลกเขียนขึ้นด้วยลายมือ จำนวน 4 หน้านั้นแจงรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนถึงคนที่เขารัก ครอบครัว เพื่อนฝูง รวมถึงน้องๆ กลุ่มแก๊งคนรัก ดร.ป๊อป ที่เจ้าตัวบอกว่ารักใคร่กันมากและรักกันมายาวนาน เนื้อจดหมายนั้นมีทั้งคำขอโทษ คำกล่าวโทษ คำขอบคุณ ทุกถ้อยคำกลั่นมาจากสิ่งที่เขารู้สึกตลอดการเป็น ดร.ป๊อป
“อารมณ์มันแย่ครับตอนนั้น คือผมมองว่าทุกคนผิดหมด แล้วก็แจกแจงว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะใคร มีกล่าวขอโทษและขอบคุณคนที่ผมไม่ได้มีปัญหาด้วย มอบมรดกนั่นนู่นนี่ ตอนออกจากบ้าน บอกแม่แค่ว่าไม่ต้องตามหานะ ขออยู่เงียบๆ คนเดียว ซึ่งแม่จะรู้ดีว่าถ้าผมเป็นอย่างนี้ ผมจะทำงานละ น้องสาวก็ไม่รู้ครับ เพราะผมไม่บอก ส่วนจดหมายผมเอาไปฝากให้เพื่อน ถ้าให้แม่ แม่คงช็อก เพราะผมคิดเป็นสเต็ปว่า ถ้าเพื่อนเจอ น้องก็ต้องเจอ
แรกเลยนะความคิดฆ่าตัวตายยังไม่มีหรอกครับ แต่พออยู่หลายๆ วันเข้า คนที่เจ็บช้ำมา แล้วมาอยู่คนเดียว ความคิดก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย นอนไม่หลับ สมองคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด มือถือก็ปิด ไม่มีการสื่อสารใดๆ กับใครทั้งสิ้น เพราะอยากอยู่คนเดียวจริงๆ วิธีจัดการกับตัวเองเหรอครับ ผมคิดแค่ว่า ถ้าถึงจุดนั้น ผมต้องตายแบบสภาพที่ดูดี ผมไม่แขวนคอแน่ๆ เพราะศพแขวนคออุบาทว์ กระโดดน้ำก็ไม่ทำเด็ดขาด เพราะผมเกลียดน้ำเย็น แต่ถ้ากินยาผมว่าสภาพมันยังดูดีอยู่นะ (หัวเราะร่วน) เหมือนตายอยู่ในสภาพฝัน ถ้าหลับไปก็เหมือนไปอยู่ในโลกที่ผมสร้างขึ้นและอยู่ใต้จิตสำนึกของผมเอง มีความสุขกับมัน”
ตื่นจากฝันร้ายด้วยพลังใจคนรอบข้าง
แม้จะเตรียมการและวางแผนไว้เสร็จสรรพ ทว่าวินาทีสุดท้าย เจ้าของฉายา Prince of Sci-Fi ก็ล้มเลิกความคิดที่จะปลิดชีพตัวเอง เขาตัดสินใจเปิดมือถือ ด้วยสัญชาตญาณที่บอกให้เปิด เมื่อเปิดเขาก็เจอกับข้อความมหาศาลที่ฝากไว้ บ้างก็ให้โทรกลับ บ้างก็เป็นความห่วงใย บ้างก็เป็นการให้กำลังใจ
“น้ำตาไหลเลยครับ เพราะข้อความที่ฝากไว้มันเยอะมากกกกก เปิดเฟซบุ๊กก็เจอการประกาศตามหาผม ใครพบเห็นนักเขียนคนนี้ๆ รบกวนแจ้งกลับด้วย คือทุกคนช่วยกันตามหาผมในบริบทของตัวเอง แล้วทุกคนก็ไม่ได้ไปแจ้งความหรือบอกสื่อ
ทุกคนมีสิทธิคิดได้ต่างๆ นานาครับ จะว่าผมเรียกร้องความสนใจ หรือดราม่าอะไรก็ตาม แต่ถ้าคุณไม่มาเป็นผมและอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผมก็จะไม่รู้เลยว่าทำไมผมต้องทำอย่างนั้น ณ โมเมนต์นั้น มันแย่ ไม่มีใคร ไม่อยากอยู่แล้ว ผมอาจจะเคยได้ทุกอย่าง แต่วันหนึ่งผมเสียทุกอย่างไป มันยากนะครับที่จะมาอธิบายความรู้สึกนั้นได้ให้ทุกคนเข้าใจ ทุกอย่างมันคือความพินาศ สมองมันมีแต่เรื่องลบ พอสมองคิดแต่เรื่องลบ มันเลยกลายเป็นว่าพลังลบถูกดึงดูดเข้ามา ทุกอย่างเป็นสีดำ ทุกอย่างมันหมดหวัง แต่ทุกอย่างที่ผมเล่ามันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและสามารถเช็กได้เลยครับ
ผมโชคดีครับที่ผมมีคนกลุ่มหนึ่งรักผมจริง วันที่ผมเปิดมือถือ มีน้องคนหนึ่ง ซึ่งผมเรียกว่าน้องรักที่อยู่เคียงข้างกัน คุยกันปรึกษากัน บอกผมว่าถ้าเฮียไป ผมจะตามไปดูแล เท่านั้นแหละครับทำให้ผมต้องไม่คิดสั้น เพราะถ้าทำก็จะเป็นการฆาตกรรมคนทางอ้อม แล้วผมก็บอกตัวเองว่าต้องกลับไปและต้องกลับไปแบบที่ดีกว่าเดิม ถ้ามีคนรักผมขนาดนี้ ผมก็ต้องกลับไปเป็นคนดี ทำตัวให้ดี เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่รักผม นั่นจึงจะแปลว่าผมรักพวกเขาจริง แต่ถ้ากลับไปแล้วยังเป็นคนเดิม ก็เท่ากับว่าผมรักแค่ตัวเอง ไม่ได้รักคนอื่นเลย”
7 วันของฝันร้าย แม้ไม่มีใครต้องจบชีวิต ป๊อปเองก็ไม่ได้จากลา คนรอบข้างและคนที่รัก ดร.ป๊อป ก็ไม่ได้ปวดร้าว แต่บทเรียนนี้ทำให้นักเขียนอนาคตไกลได้แบบฝึกหัดชีวิตที่ยิ่งใหญ่ สติมาปัญญาเกิด ใช้ได้ดีกับทุกสถานการณ์ บางคราดวงตาที่มืดสมองที่บอดหากไร้ซึ่งสติและปัญญาก็ยากนักที่จะกอบกู้กลับคืนมาได้
“ถ้าผมไม่ทำอะไรผิดพลาด ผมว่าผมก็ยังจะเป็นคนเดิม หรืออาจเลวกว่าเดิม ผมอาจจะไม่รู้สึกตัว และอาจจะเสียใครไปมากกว่านั้น พอพลาดปุ๊บมันก็สอนให้ผมเรียนรู้ว่าจะทำยังไงให้มันผ่านไปได้และอยู่ได้กับมัน ทำไมไม่เข้าใจคนอื่นบ้าง เคยถามคนอื่นมั้ยว่าอยากได้อะไร ทำไมผมถึงไม่รักคนอื่นจริงจังบ้าง ทุกอย่างล้วนมาจากความผิดพลาดวันนั้น แล้วมันก็ค่อยๆ ตกตะกอนความคิดหลังจากที่กลับมา โดยเกลาตัวเองให้คมขึ้น เพื่อจะได้ไม่เสียคนที่เรารักไปอีก
บทเรียนนี้มันสอนให้ผมค้นพบว่า จงยอมรับกับความผิดพลาด จากนั้นก็จะต้องปรับปรุงมัน ถ้าตัวเองเลวก็บอกว่าเลว ถ้าตัวเองห่วยก็บอกว่าห่วย อย่าหลอกตัวเองว่าไม่เลวไม่ห่วย ถ้ายังหลอกตัวเองคุณก็จะไม่ดีกว่าเดิมหรอก ตอนที่ผมกลับมาผมขอโทษคนที่ยังคบอยู่ ขอโทษคนที่ทิ้งผมไป แล้วก็ขอบคุณโดยการเขียนผ่านทางไลน์และเฟซบุ๊ก ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ให้มาและขอโทษในสิ่งที่กระทำไป ถ้าไม่สามารถเหมือนเดิมได้ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังยืนยันว่าจะทำ เพราะถ้าผมไม่ทำ ผมก็จะไม่เห็นตัวเองและหันมามองคนอื่นเลย”


