บุย ด๋อย เด็กคือ ‘ผู้บริสุทธิ์’
สงครามเวียดนามได้ทิ้งบาดแผลที่กรีดลึกและกลายเป็นแผลเป็นให้ภูมิภาคอินโดจีนคือเวียดนาม
โดย...พรเทพ เฮง
สงครามเวียดนามได้ทิ้งบาดแผลที่กรีดลึกและกลายเป็นแผลเป็นให้ภูมิภาคอินโดจีนคือเวียดนาม ซึ่งเป็นสมรภูมิรบหลัก รวมถึงลาวและกัมพูชา อย่างไม่มีวันลืมเลือน
แม้สงครามจะสิ้นสุดไป 40 ปีแล้ว แต่ซากปรักหักพังเหล่านั้นก็ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
ในฉากของละครเพลง (Musical) เรื่อง“มิสไซง่อน” ซึ่งยืนโรงแสดงที่ปรินซ์ เอ็ดเวิร์ดเธียเตอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว ผลพวงที่เกิดขึ้นในโลกจริงที่แสนรวดร้าวในมุมมนุษยธรรมสอดแทรกอยู่ โดยปรากฏในช่วงแรกขององก์ 2 ได้สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก
โดยมีบทเพลง “บุย ด๋อย” เขียนคำร้องโดย อแลง บูบลิล กับริชาร์ด มอลต์บี จูเนียร์เป็นการรำพึงรำพันถึงชีวิตที่ดั่งถูกสาป ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมของตัวเอง และไม่สามารถไปสู่สังคมของพ่อซึ่งเป็นอเมริกันได้ ด้วยความเป็นลูกครึ่งและเลือดเนื้อเชื้อไขของศัตรูที่เข่นฆ่า ถูกทอดทิ้ง ไร้หวังไร้อนาคต
บุย ด๋อย (b&s909;i &>73;&s901;i) ในภาษาเวียดนามนั้นหมายถึงชีวิตไร้ค่าเหมือนผงละอองฝุ่นซึ่งใครๆ ก็มองไม่เห็น ในความหมายสแลงก็หมายถึงเด็กเร่ร่อนจรจัดหรือแก๊งเด็กข้างถนน
จากปี 1989 เป็นต้นมา คำคำนี้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างจากละครเพลงยอดนิยม “มิสไซง่อน” ซึ่งหมายถึงเด็ก “อเมเรเชียน” ที่มีพ่อเป็นทหารอเมริกันกับแม่ชาวเวียดนามใต้ ซึ่งเกิดในช่วงสงครามหรือหลังสงครามเวียนามและถูกทอดทิ้งในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่มีเป้าหมายในชีวิตอยู่อย่างอนาถาไปตามยถากรรม
การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมสำหรับเด็กลูกครึ่งที่เรียกว่า อเมเรเชียน ซึ่งมีทั้งเวียดนามลาว กัมพูชา และไทย รวมถึงประเทศอื่นๆในเอเชียที่มีฐานทัพอเมริกาเข้ามาตั้งและทำสงครามเวียดนามในครั้งนั้น ได้ถูกนำมาเขย่าจิตใจของผู้ชมอยู่ใช่น้อย โดยเฉพาะบทเพลง“บุย ด๋อย” ที่สะกดผู้ชมให้น้ำตารื้นด้วยความเศร้าและเห็นอกเห็นใจ ด้วยเสียงร้องที่เค้นรีดอารมณ์จากห้วงลึกภายใน เมื่อมาผนวกกับภาพจากจอมอนิเตอร์ข้างหลัง ซึ่งเป็นภาพของเด็กลูกครึ่งอเมเรเชียนในค่ายผู้อพยพ ที่สะท้อนถึงความไร้เดียงสา ความบริสุทธิ์ฉายออกมาทางแววตา สงครามทำให้พวกเขาเกิดมาจากการพบกันของทหารอเมริกันและสาวเวียดนาม และพิษภัยที่โหดร้ายของสงครามก็ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์
หลังจากการรวมเวียดนาม โดยเวียดนามเหนือยึดครองเวียดนามใต้สำเร็จ รวมทั้งการที่ฝ่ายซ้ายในลาวและกัมพูชายึดอำนาจสำเร็จ ในปี 1975 มีประชาชนราว 3 ล้านคน ได้ลี้ภัยออกมา การอพยพโดยทางเรือหรือมนุษย์เรือกลายเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ UNHCR ได้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 80 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 500ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1980 การทำงานในอินโดจีนนี้ ทำให้ UNHCR ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1981
ชาวเวียดนามเป็นจำนวนมากที่อพยพออกมาได้รับอนุญาตให้เข้ามาอาศัยในสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบัญญัติช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและการอพยพจากอินโดจีน ผู้อพยพชาวเวียดนามเพิ่มขึ้นมากหลังปี 1975 หลังจากที่เวียดนามใต้พ่ายแพ้ให้กับกองทัพประชาชนเวียดนาม ส่วนใหญ่อพยพโดยทางเรือไปยังฮ่องกง ฝรั่งเศสสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ปี 1963 มีผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม 1.4 ล้านคน ออกจากเวียดนามและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปอยู่ยังสหรัฐอเมริกา และเหล่าเด็กที่ถูกเรียกว่าบุย ด๋อย ก็อยู่ในกลุ่มผู้อพยพเหล่านั้น
มูลนิธิที่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเด็กอเมเรเชียนที่ถูกบิดาที่เป็นทหารอเมริกันทอดทิ้งไปคือ มูลนิธิเพิร์ล เอส บัค ก่อตั้งโดย เพิร์ลเอส บัค นักเขียนสตรีชาวอเมริกัน เมื่อปี 1964มูลนิธินี้เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มีสาขาอยู่ในประเทศแถบเอเชียที่เคยมีฐานทัพสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ ได้แก่ เกาหลี เกาะโอกินาวา (ญี่ปุ่น)ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และไทย
มูลนิธิเพิร์ล เอส บัค ในประเทศไทยตั้งขึ้นเมื่อปี 1977 ให้ความช่วยเหลือเด็กอเมเรเชียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเด็กยูเรเชียนคือเด็กลูกครึ่งไทย-ยุโรป ที่เกิดขึ้นจากหญิงค้าประเวณีและชายชาวยุโรป ความช่วยเหลือของมูลนิธิเพิร์ล เอส บัค คือ การบริการให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวและเด็ก บริการให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา ทั้งการปรึกษาแนะนำให้ทุนการศึกษา จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพและความช่วยเหลือพิเศษ เช่น เรื่องการขอสัญชาติ เป็นต้น ทำให้เด็กลูกครึ่งที่ถูกทอดทิ้งมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น มีโอกาสในสังคมมากขึ้น
“บุย ด๋อย” จึงเป็นบทเพลงที่ฉายภาพเด็กอเมเรเชียน เปิดแผลเป็นให้อดีตอันเศร้าสลดของเด็กผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับจากผลพวงของสงครามเวียดนามออกมาเผยตัวให้มีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ปัจจุบันพวกเขาเป็นคนเวียดนามโพ้นทะเลและส่วนหนึ่งเป็นชาวเวียดนามที่มีอายุขึ้นหลัก 4 กันทั้งหมดแล้ว...


