ปูติมุขเปรต
คนที่ชอบยุแหย่ให้คนอื่นแตกสามัคคีกัน ต้องระวังตายไปเดี๋ยวจะไปเกิดเป็นเปรตปากเน่า
คนที่ชอบยุแหย่ให้คนอื่นแตกสามัคคีกัน ต้องระวังตายไปเดี๋ยวจะไปเกิดเป็นเปรตปากเน่า
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
เปรตตนนี้เป็นเปรตที่มีผิวพรรณงามเหมือนทอง แต่ว่าปากของเปรตจะเหม็นมาก และมีหมู่หนอนชอนไชไต่ไปมาในปากดูน่าเกลียดมาก ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าเปรตปากเหม็น
สาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นเปรตปากเน่า ก็เพราะว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ได้บวชพระในพระพุทธศาสนา แม้ในทางกายทวารจะเป็นคนที่มีการสำรวมกายเป็นที่น่าเคารพศรัทธาของผู้คน แต่ในทางวาจากลับเป็นคนมีวาจาชั่วช้า ชอบพูดจาส่อเสียด ให้ร้ายยุแหย่คนอื่นให้แตกสามัคคีกัน
สำหรับผลกรรมของปูติมุขเปรตนั้นมีว่าในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชายสองคนศรัทธาได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา บวชแล้วมีความประพฤติเคร่งครัดในศีลและจริยาของพระมาก ได้พำนักอยู่ในวัดในชนบทแห่งหนึ่ง
ต่อมามีพระรูปหนึ่งเป็นพระอาคันตุกะ เดินทางไกลมาจากหัวเมือง ได้มาขออาศัยอยู่กับพระเจ้าถิ่นทั้งสองรูปในวัดนั้น ซึ่งทั้งสองก็ยินดีและปฏิบัติต้อนรับดี
ทว่า พระอาคันตุกะเมื่อมาอยู่ที่วัดนั้นนานไปก็เห็นว่าเป็นวัดที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำ อาหาร บิณฑบาต อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ทั้งชาวบ้านก็ศรัทธา ถ้าจักอยู่ต่อไปก็คงไม่ลำบากอะไร แต่ก็ไม่สบายใจที่พระเก่าทั้งสองยังอยู่ด้วย เพราะกลัวลาภจะถูกแยกเป็นสามส่วน และกลัวว่าชาวบ้านจะคิดว่าตนเป็นศิษย์พระเก่าสองรูปนั้น จึงหาวิธียุแหย่ให้พระทั้งสองแตกสามัคคีกันเพื่อจะได้ออกไปจากวัด แล้วตนจะได้ครองวัดคนเดียว
วันหนึ่งพระเจ้าถิ่นรูปที่มีอายุมากกว่าก็ให้โอวาทกล่าวสอนพระเจ้าถิ่นรูปที่อายุอ่อนกว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็แยกย้ายกลับที่พัก จึงเป็นโอกาสให้พระอาคันตุกะนั้นได้เข้าไปหาและกล่าวกับพระเจ้าถิ่นรูปอายุมากกว่า พระที่เป็นเพื่อนแกล้งทำตัวเป็นคนดีต่อหน้า แต่ลับหลังก็ติเตียนนินทาตลอด
พระเจ้าถิ่นอายุมากพอได้ฟังคำพระอาคัน ตุกะก็ถามว่าเพื่อนผมว่าอะไร จึงตอบกลับไปว่า เพื่อนท่านพูดกับกระผมว่าท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ และชอบประจบชาวบ้าน
ปรากฏว่าพระเก่าที่มีอายุมากกว่าพอฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม และพูดขึ้นว่า อย่าได้พูดเช่นนี้อีก เพราะผมรู้ดีว่าเพื่อนสหธรรมิกของผมไม่มีทางกล่าวเช่นนั้น
“ผมรู้จักเขามาตั้งแต่เป็นฆราวาสด้วยกัน เขามีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ และเคร่งครัดในศีลมาก ขออย่าได้มาพูดเช่นนี้อีก เพราะผมไม่เชื่อหรอก”
พระอาคันตุกะฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ดี แต่สิ่งที่ผมอยากนำมาพูดก็ด้วยความหวังดี และผมก็ไม่เคยผิดใจกับพระที่เป็นเพื่อนของท่าน แต่หวังว่าสักวันท่านจะรู้ความจริง
จากนั้นพระอาคันตุกะก็เข้าไปหาพระที่เป็นเพื่อนของพระรูปนั้น แล้วพูดยุยงให้ฟังว่าพระที่เป็นเพื่อนกล่าวตำหนิว่าท่านเป็นบุคคลโลภมาก ใจคับแคบ ต่อหน้าทำอย่าง ลับหลังทำอย่าง
ทว่า พระเก่ารูปนั้นเมื่อฟังแล้วก็ไม่เชื่อเหมือนกัน พร้อมได้ตอบกลับพระอาคันตุกะเหมือนอย่างที่พระเก่ารูปก่อนพูด แต่พระอาคันตุกะก็พูดขึ้นว่า ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงจะปรากฏตามที่ผมได้เตือนไว้
อย่างไรก็ตาม พระอาคันตุกะก็ไม่ลดความพยายามที่จะทำให้พระทั้งสองแตกแยกกัน ได้แวะเวียนเข้าไปหาทั้งสองฝ่าย พูดจายุแยงตะแคงรั่วให้ผิดใจกันตลอด ทำอยู่บ่อยครั้งจนในที่สุดทั้งสองก็หวั่นไหวและแตกแยกสามัคคีกันสิ้นเชิง
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจากัน ไม่ทำกิจวัตรร่วมกัน และสิ้นความนับถือกัน นานเข้าๆ ก็เก็บบริขารออกจากวัดไปคนละทาง
ฝ่ายพระอาคันตุกะผู้มักมากในลาภสักการะ ตอนเช้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ถูกชาวบ้านถามถึงพระทั้งสองก็ตอบว่า ทั้งคู่ทะเลาะกันตั้งแต่คืนยันรุ่ง ห้ามก็ไม่หยุด สุดท้ายจึงขนข้าวของหนีออกจากวัด เวลาต่อมาพระอาคันตุกะได้เป็นใหญ่ในวัด แต่แทนที่จะสมบูรณ์ด้วยลาภสักการะเหมือนเมื่อก่อน แต่ลาภสักการะกลับหดหาย ชาวบ้านก็ไม่ค่อยเข้าวัด เกิดความเครียดคิดมากและเจ็บป่วย คิดถึงตอนที่มีพระเก่าทั้งสองอยู่ ที่เวลาตัวเองป่วยพระทั้งสองก็แวะเวียนมาดูแล
คิดมากและเสียใจกับการกระทำของตัวเอง จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายในดันหัวใจให้หยุดเต้น และในที่สุดก็มรณภาพ
ด้วยผลแห่งกรรมชั่วได้ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจีเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเปรตปากเหม็นในที่สุด
คนที่ชอบยุแหย่ให้คนอื่นแตกสามัคคีกัน ต้องระวังตายไปเดี๋ยวจะไปเกิดเป็นเปรตปากเน่านะ


