อันเดรอา โบเชลลิ ในค่ำคืนที่มีมนต์ขลัง
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง
รอคอยกันมานานปี ... ในที่สุด “อันเดรอา โบเชลลิ” นักร้องเสียงเทเนอร์ซึ่งคนทั่วโลกรักก็มาเปิดการแสดงครั้งแรกในเมืองไทยในเวลาราว 2 ทุ่ม ซูเปอร์สตาร์แห่งแวดวงคลาสสิคอลมิวสิคจากอิตาลีผู้หล่อเหลาในชุดผ้าไหมปรากฏตัวบนเวที MahaNakhon Presents A Magical Night with Andrea Bocelli : The World’s Most Beloved Tenor เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ณ พารากอน ฮอลล์
อันเดรอา โบเชลลิ อัจฉริยะผู้พิการทางสายตาใช้เสียงของเขาตรึงผู้คนในฮอลล์ได้ราวกับต้องมนต์ ช่วงแรกของการแสดงเขาให้คนฟังดื่มด่ำกับเพลงโอเปร่ากันเต็มอิ่ม ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่โหมดป๊อปในช่วงหลัง ระหว่างเพลงเขาไม่ได้พูดคุยกับคนดูมากมายนัก แต่ปล่อยให้ดนตรีทำหน้าที่สื่อสารแทน
วงมหานครฟิลฮาร์โมนิค ออร์เคสตรา และคณะนักร้องประสานเสียงผู้อยู่เบื้องหลังการแสดงของ อันเดรอา โบเชลลิ ในค่ำคืนนั้นเป็นชาวไทยซึ่งถูกคัดเลือกมาอย่างดีเพื่อทำงานร่วมกับคอนดักเตอร์ คือ คาร์โล เบอร์นินี ทั้งยังมีกีตาร์ดูโอวง คาริสมา รวมทั้ง มาเรีย อเลดา นักร้องโซปราโน่เสียงสวยรวมทั้งสาวๆ ฝ่ายป๊อปไม่ว่าจะ แคทเธอรีน แม็คฟี จากเวทีอเมริกัน ไอดอล สาวน้อย แจ็คกี อีแวนโค
จากเวทีอเมริกา ก็อตทาเลนต์ และสาวไทย ไมร่า-มณีภัสสร มอลลอย (ผู้อัญเชิญเพลง ส้มตำ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาขับร้อง) โดยการนำมาของโปรดิวเซอร์ชื่อก้องโลกอย่าง เดวิด ฟอสเตอร์
บทเพลงที่นำมาเสนอในค่ำคืนนั้นเป็นทั้งเพลงโอเปร่าที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เช่น La Donna e Mobile จากเรื่อง Rigoletto ของ แวร์ดี เพลง O Soave Fanciulla จากเรื่อง La Boheme ของ ปุคชินี
เพลง Brindisi จากเรื่อง La Traviata ของ แวร์ดี รวมทั้งเพลงป๊อป/คลาสสิคอลเนื้อร้องภาษาสเปน อย่าง Amapola หรือดอกป๊อปปี้น้อยแสนงาม ตามด้วย Music of the Night จากละครเพลง Phantom of the Opera เพลงของราชาเพลงร็อก เอลวิส เพรสลีย์ อย่าง Can’t Help Falling in Love ก็ถูกนำมาถ่ายทอดได้อย่างงดงามและแตกต่าง รวมทั้ง The Prayer ที่ อันเดรอา เคยร้องร่วมกับ ซีลีน ดิออน และ Time to Say Goodbye ซึ่งเขาเคยประชันเสียงกับ ซาราห์ ไบร์ทแมน จนโด่งดัง (น่าเสียดายที่อีกหนึ่งเพลงดัง คือ Besame Mucho ซึ่งมีชื่ออยู่ในโปรแกรมถูกตัดออกจากการแสดง)
แม้จะไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของโอเปร่า ถึงจะฟังภาษาอิตาเลียนหรือสแปนิชไม่ออก แต่คนดูก็สามารถเข้าถึงบทเพลงเหล่านั้นได้ เป็นอีกครั้งที่ได้พิสูจน์ว่า “ดนตรีไม่มีพรมแดน” นั้นเป็นเรื่องจริง
อาจเพราะนักร้องรับเชิญมากไปหน่อย เดี๋ยวคนนั้นออกคนนี้เข้า ทำให้โชว์ช่วงหลังไม่ค่อยต่อเนื่องนัก อีกทั้งไมค์ยังมีปัญหาในบางเพลง แต่เมื่อทุกอย่างถูกแก้ไขให้เข้าสู่ภาวะปกติและ อันเดรอา โบเชลลิ ก็ได้เวลากลับมาเปล่งประกายของเขาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้งก่อนลาจากมนต์เสน่ห์ในเสียงของเขาก็ทำให้ความสุขแผ่ซ่านกระจายไปทั่วฮอลล์
และเมื่อหลับตาลง ... เราก็เหมือนกับได้เดินทางไปถึงอิตาลีด้วยเสียงร้องของ อันเดรอา โบเชลลิ


