หุ่นยนต์ปฏิวัติเอสเอ็มอี
ปัญหาโลกแตกกำลังจะหมดไป ในช่วงรอยต่อที่อุตสาหกรรมไทยกำลังก้าวจากอุตสาหกรรมแรงงาน
โดย...เจียรนัย อุตะมะ ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี/เจีรนัอุตะมะ
ปัญหาโลกแตกกำลังจะหมดไป ในช่วงรอยต่อที่อุตสาหกรรมไทยกำลังก้าวจากอุตสาหกรรมแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) กำลังมีช่องทางนำหุ่นยนต์มาใช้แทนแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรม เมื่อบริษัทไทยกำลังซุ่มทดลองผลิตหุ่นยนต์สมบูรณ์แบบตัวแรกของเมืองไทย ที่ถ้าสำเร็จจะพลิกโฉมเอสเอ็มอีในเมืองไทยให้ก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมขั้นสูงได้เร็วขึ้น
บรรยากาศวันแรงงานกำลังตลบอบอวลไปทั่วอุตสาหกรรมไทยอีกรอบในเดือน พ.ค.นี้ กลุ่มแรงงานพร้อมใจเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มจากวันละ 300 บาท ในขณะที่นายจ้างก็กำลังดิ้นรนลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการนำเครื่องกลและหุ่นยนต์มาทดแทนคนงาน
หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทแทนคนเพิ่มขึ้นตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ที่ผลักดันให้มนุษย์พัฒนาฝีมือและสมองไปทำงานที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ขณะที่งานง่ายๆ งานใช้แรงงานและงานฝีมือเบื้องต้นเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ทั้งหมด ในเกาหลี บริษัท แอลจี ได้ผลิตหุ่นยนต์ที่ใช้วาดภาพได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงโปรแกรมการวาดภาพเบื้องต้น คือการวาดภาพเหมือน ในขั้นตอนการร่างโครงร่าง ที่จะประหยัดเวลาของจิตรกรในการทำงานในขั้นที่ซับซ้อนและใช้จินตนาการต่อไปได้
วิวัฒนาการล่าสุดของหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมไทย จากนี้ไปหุ่นยนต์จะทำงานทดแทนช่างสี และช่างเชื่อมในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อความแม่นยำ มีประสิทธิภาพของงาน ขณะที่ช่างเหล่านั้นจะพัฒนาฝีมือเพื่อคุมหุ่นยนต์นี้แทนที่แนวโน้มนี้นับว่าจะขยายวงกว้างมากขึ้นเมื่อ บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน (CHO) กำลังทดลองผลิตหุ่นยนต์สมบูรณ์แบบในอุตสาหกรรมที่มีทั้งตัวหุ่นยนต์และโปรแกรมป้อนคำสั่ง
นั่นหมายความว่า ถ้าการทดลองนี้สมบูรณ์แบบ ประเทศไทยจะมีหุ่นยนต์ใช้ในอุตสาหกรรมในราคาที่ถูกลง จากปัจจุบันที่ประเทศไทยแม้ผลิตหุ่นยนต์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ได้ แต่ต้องนำเข้าโปรแกรมคำสั่งหรือซอฟต์แวร์ที่เปรียบเป็นสมองสั่งการมาจากญี่ปุ่นหรือเยอรมนี ซึ่งมีราคาแพงมาก รวมถึงค่าบริการหลังการขายที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ
“ในอนาคตช่างเชื่อมในโรงงานอุตสาหกรรมจะไม่มีแล้ว จะเหลือช่างเชื่อมในไซต์งานก่อสร้างเท่านั้น เพราะหุ่นยนต์สามารถทดแทนได้ ตราบใดที่ค่าแรงเพิ่ม จะมีการนำเข้าเครื่องจักรอัตโนมัติเข้ามาเรื่อยๆ เพราะสามารถนำค่าเสื่อมราคามาลดหย่อนภาษีได้” เกียรติพงศ์ น้อยใจบุญผู้ก่อตั้งบริษัท เอกรัฐวิศวกรรม (AKR) กล่าว
สำหรับวิธีลดหย่อนภาษีนั้น อาทิ เครื่องกลราคา 60 ล้านบาท จะทยอยตัดปีละ 6 ล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี
AKR เป็นบริษัทผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ก่อตั้งมา 34 ปี ที่มีรายได้ปีละ 2,000ล้านบาท และใช้เครื่องกลแทนแรงงาน 70% จากเดิม 90% ของการทำงานเป็นแรงงาน
ขณะที่แขนกลแบรนด์ใช้ทดแทนช่างเชื่อมในโรงงาน แม้ยังมีช่างเชื่อมทำงานอยู่บ้างในบางจุด แต่ในอนาคตบริษัทมีแผนจะนำมาทดแทนทั้งหมด โดยจะพัฒนาช่างเชื่อมให้เป็นผู้ควบคุมการทำงานของ
หุ่นยนต์แทน โดยใช้พนักงานคุมเครื่องกล 1 คนต่อ 2 เครื่อง
ปัจจุบัน AKR มีพนักงาน 800 คน เป็นพนักงานโรงงาน 600 คน แต่ถ้าไม่ใช้เครื่องกลจะใช้พนักงานทั้งหมดถึง 1,200 คน เป็นพนักงานโรงงาน 1,000 คน โดยพนักงานในโรงงานส่วนใหญ่จะมีหน้าที่คุมเครื่องกลและเรียงเหล็ก โดยคนงานของบริษัทเป็นแรงงานไทยทั้งหมด
เครื่องทำตัวถังหม้อแปลง ใช้มากว่า 20 ปี จากอายุการใช้งาน 40-50 ปี ราคา 60 ล้านบาท แต่ปัจจุบันราคาขึ้นเป็น 100 ล้านบาทแล้ว ในระยะ 10 ปีนี้มีการเปลี่ยนอะไหล่ไปครั้งเดียวค่า เปลี่ยน
4-5 ล้านบาท”
นอกจากนั้น ยังมีเครื่องตัดเหล็กแกนไฟฟ้า3 เครื่อง จากเยอรมนีและเบลเยียม ราคาเครื่องละ 30-40 ล้านบาท อายุ 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี ที่ผู้ขายมีบริการหลังการขายในการส่งอะไหล่มาเปลี่ยนให้ โดยคิดค่าเปลี่ยนต่างหาก และเครื่องพันคอยล์ 5-30 ล้านบาทจากเยอรมนี อิสราเอล และอิตาลี เครื่องปั๊มขึ้นรูป ที่ควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์
“การพันคอยล์ในอดีตใช้มือพันและใช้เท้าเหยียบ ซึ่งสามารถทำงานได้น้อยกว่าเครื่องกล 3 เท่า เมื่อนำเครื่องมาใช้แทนคนได้เกลี่ยคนไปทำงานอย่างอื่น ปัจจุบันพนักงานที่ทำงานกับเราที่อายุงานมากที่สุด34 ปี หรืออายุกว่า 50 ปี”
เกียรติพงศ์ เล่าว่า สำหรับธุรกิจที่มีทุนน้อยรายได้ยังไม่มาก สามารถใช้ประสบการณ์ของบริษัทไปเป็นตัวอย่างได้ จากระยะเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทก็เริ่มจากใช้แรงงานจำนวนมาก เพราะเงินทุนมีน้อย
บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 2524 ในระยะ 5 ปีแรกยังใช้แรงงานมาก เพราะทุนน้อย จึงเริ่มจากการซื่้อเครื่องกลมือสองเมื่อปี 2529 จากนั้นปี 2539 จึงขยับมานำเข้าเครื่องจักรมือหนึ่งในขณะที่เครื่องกลมือสองที่ซื้อมาครั้งแรกที่หมดอายุก็นำไปขายต่อให้ผู้ประกอบการที่เนปาลและพม่า โดยเครื่องกลเก่านี้ตามหลักบัญชีตัดค่าเป็นศูนย์แล้ว เงินที่ขายเครื่องกลได้ก็ถือเป็นกำไรของบริษัท
“เครื่องกลมือสองใช้ตัดเหล็กเคยซื้อมาราคา 6 ล้านบาท ใช้มา 10 ปี เมื่อมีทุนมากขึ้นนำเข้าเครื่องกลมือหนึ่งมาใช้ ขณะที่เครื่องกลมือสองก็ขายออกไปได้ราคา 4.5 ล้านบาท พร้อมติดตั้ง”
เกียรติพงศ์ กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องใช้เครื่องกลแทนคน เพราะการแข่งขันของธุรกิจมีสูง ทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทลดลงตามลำดับ จากยุคเริ่มต้น 30-40% มาปัจจุบัน 10%
ในขณะที่บริษัทยังครองอันดับ 1 ด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตขายการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงงานเอกชน คอนโดมิเนียม และแฟลต
สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทช.ทวี ดอลลาเซียน กล่าวว่า บริษัทกำลังทดลองผลิตหุ่นยนต์เคลื่อนไหวสมบูรณ์แบบในอุตสาหกรรมตัวแรกของเมืองไทย เพื่อใช้แทนช่างสีและช่างเชื่อม โดยจะทดลองต้นแบบเดือน เม.ย.ปีนี้ ที่ระดับความสมบูรณ์แบบ 95% ที่จะทำให้ธุุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ใช้แรงงานมีโอกาสนำหุ่นยนต์ไปใช้ทดแทนแรงงานพม่าได้ เพราะจะทำให้ราคาหุ่นยนต์รวมโปรแกรมคำสั่งใช้งานถูกลง จากในอดีตที่เคยนำเข้ามาจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพงและมีภาระผูกพันในการใช้บริการ
ทั้งนี้ บริษัทจะจัดตั้งศูนย์หุ่นยนต์พัฒนา โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวจะมีอายุการใช้งาน 5 ปี ราคาประมาณตัวละ 1-2 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะใช้ทดแทนช่างเชื่อมและช่างสีได้ในอัตราส่วน หุ่นยนต์ 1 ตัว ทดแทนช่างเหล่านี้ได้ 3-4 คน ทั้งนี้หากสามารถทดลองสำเร็จจะนำมาใช้ในโรงงานของบริษัทประมาณ 2 ปี เพื่อทดสอบประสิทธิภาพก่อนที่จะผลิตขาย
นับเป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของวงการเอสเอ็มอีไทย ที่พยายามดิ้นรนเพื่อให้ผ่านยุคอุตสาหกรรมแรงงานขั้นพื้นฐานไปสู่อุตสาหกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม


