posttoday

ชัยวัฒน์ สดชื่น 'ผมต้องการพัฒนาโหราศาสตร์ไทย'

27 เมษายน 2558

ถ้าพูดถึงนักโหราศาสตร์อายุน้อยสุดของเมืองไทยในเวลานี้ ก็ต้องเขาคนนี้แหละ “ช้าง-ชัยวัฒน์ สดชื่น” นักพยากรณ์อนาคตไกลวัย 17 ปี และว่าที่มันสมองของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ศิษย์เอกของ “ธนกร สินเกษม” นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ผู้ปลุกปั้น ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และในสมาคมโหรฯ มีตำแหน่งเป็นกรรมการฝ่ายวิชาการด้วยคำนำหน้าว่า “อาจารย์ชัยวัฒน์ สดชื่น” ในเกียรติบัตรรับรอง

ถ้าพูดถึงนักโหราศาสตร์อายุน้อยสุดของเมืองไทยในเวลานี้ ก็ต้องเขาคนนี้แหละ “ช้าง-ชัยวัฒน์ สดชื่น” นักพยากรณ์อนาคตไกลวัย 17 ปี และว่าที่มันสมองของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ศิษย์เอกของ “ธนกร สินเกษม” นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ผู้ปลุกปั้น ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และในสมาคมโหรฯ มีตำแหน่งเป็นกรรมการฝ่ายวิชาการด้วยคำนำหน้าว่า “อาจารย์ชัยวัฒน์ สดชื่น” ในเกียรติบัตรรับรอง

ดังนั้น เห็นอายุแค่นี้ก็อย่าเพิ่งปรามาสหรือดูเบาเด็กคนนี้ เพราะความสามารถในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ของเขานั้นคับแก้วจริงๆ (สัมผัสเองแล้วจะรู้) ซึ่งถ้าได้รับการสนับสนุนและการส่งเสริมจากผู้ใหญ่ในสมาคมโหรฯ เชื่อว่าเด็กคนนี้จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวงการโหราศาสตร์ไทย และนำความมีหน้ามีตามาสู่สมาคมโหรฯ อย่างมิต้องสงสัย

ยิ่งเมื่อได้ฟังแนวคิดในความเป็นนักโหราศาสตร์ของเขา เชื่อว่าคนไทยจะยิ่งศรัทธาเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะชัยวัฒน์มีจุดประสงค์ในการเรียนโหราศาสตร์ตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี ชัดเจนที่แตกต่างจากผู้เรียนคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ต้องการเอาวิชาไปประกอบอาชีพ แต่เขาเรียนเพื่อต้องการพัฒนาเกี่ยวกับวงการโหราศาสตร์ไทยมาเป็นที่หนึ่ง และต้องการให้วิชาโหราศาสตร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะในกลุ่มคนหรือผู้สนใจโหราศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นวิชาสาธารณะที่คนทุกวงการสามารถนำไปใช้ได้

“ตอนนี้ผมสร้างแผ่นหมุนลัคนาแบบดาราศาสตร์ขึ้นมา ซึ่งแผ่นหมุนลัคนานี้เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากในทางโหราศาสตร์ เพราะจะช่วยให้นักโหราศาสตร์สามารถวางจุดลัคนาเพื่อใช้ในการพยากรณ์ได้ ลัคนาก็คือตำแหน่งจักรราศีทางทิศตะวันออก ณ เวลาประสงค์ การจะหาลัคนาหรือกลุ่มดาวจักรราศีทางที่ขึ้นทางทิศตะวันออก ณ เวลาที่เจ้าชะตาเกิดได้นั้น ต้องใช้วิธีการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อนและลำบากมาก ผมจึงสร้างแบบแผ่นหมุนแบบสำเร็จขึ้น เพื่อให้หาลัคนาได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น”

ชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า การทำแผ่นหมุนลัคนานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีคนเคยทำมาแล้วมากมายหลายแบบ แต่ก็ไม่ถูกต้องกับหลักดาราศาสตร์เท่าที่ควรนัก เขาจึงใช้แบบอันโตนาฑีของ พ.ต.ท.ประสิทธิ์ ลีละยูวะ อดีตนายกสมาคมโหรคนที่ 8 มาสร้างเป็นแบบแผ่นหมุนและปรับค่าอันโตนาฑีให้มีความเที่ยงตรงมากขึ้น ปัจจุบันแบบแผ่นหมุนนี้อยู่กับเขา และจะยกให้เป็นของสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ต่อไป

ไม่เพียงแค่นี้ เขากำลังศึกษาวิธีการคำนวณดาวเคราะห์จากปฏิทินดาราศาสตร์แบบสากลและกำลังศึกษาค่าอยนางศะแบบต่างๆ ทั้ง 27 แบบ เช่น แบบ Lahiri แบบ Fagan แบบ Citra Paksa แบบ Krishnamurti แบบ Surysiddhanta ฯลฯ เพื่อจะนำมาใช้ปรับปรุงทำปฏิทินโหราศาสตร์แบบที่มีความเที่ยงตรง สามารถอ้างอิงกับดาราศาสตร์ โดยทดลองใช้โปรแกรม Excel ในการใส่สูตรโมดูลคำนวณตำแหน่งดาวของ Swiss Ephemeris ซึ่งเป็นสูตรการคำนวณดาวที่มีความเที่ยงตรงสูงมาก และได้รับการยอมรับจากวงการทางดาราศาสตร์อย่างองค์การ Nasa เป็นต้น

“โดยผมได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ธีรพร บุญวงษ์ ครูทางด้านโหราศาสตร์ภาคคำนวณท่านหนึ่งครับ แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงศึกษา คงต้องใช้เวลาอีกมากในการทำปฏิทิน เพราะปฏิทินเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ผู้ศึกษาจะต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลเพื่อความเที่ยงตรงและถูกต้องในการคำนวณ”

ขณะที่ปฏิทินทางจันทรคติ ชัยวัฒน์ บอกว่า เขาเองอยากทำเหมือนกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก จำเป็นต้องศึกษาและใช้เวลายาวนาน โดยได้ให้เหตุผลที่อยากทำว่า ในประเทศไทยยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับปฏิทินทางจันทรคติ ทางฝ่ายพระสงฆ์และสำนักอื่นๆ ยึดถือและยึดมั่นในระบบการคำนวณที่ต่างกัน ซึ่งระบบการวางปฏิทินจันทรคติมีความซับซ้อนมากและมีกฎเกณฑ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกฎอธิกมาสและอธิการ ซึ่งมีคติการวางอธิกมาสและอธิกวารที่แตกต่างกันตามแต่ละสำนัก

“โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อมั่นในระบบการวางอธิกมาสและอธิกวารของพระยาบริรักษ์เวชชการ อดีตนายกสมาคมโหรคนที่ 3 มากที่สุด เพราะหลักการมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงทางดาราศาสตร์ ส่วนระบบปักขคณนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก็เป็นรูปแบบอีกอย่างของปฏิทินจันทรคติที่เหมาะกับงานทางพุทธศาสนาครับ”

นี่คือมุมมองและเสียงสะท้อนที่ออกมาจากใจของนักโหราศาสตร์วัย 17 ปี เขาไม่ได้มุ่งที่การพยากรณ์ดวงชะตาของใครเป็นหลัก เพราะมองว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ อย่างไรเสียก็ต้องได้ดูอยู่ตราบนั้น แต่การพัฒนาในด้านวิชาการโหราศาสตร์นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละเลย ถ้าไม่ทำในตอนที่มีโอกาสก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ทำ

"ที่ผมยังไม่มุ่งพยากรณ์เพราะในประเทศไทยนักพยากรณ์มีเยอะอยู่แล้ว มีการแข่งขันสูง เรียกว่าอุปทานของหมอดูมีมากกว่าอุปสงค์ของคนดู อีกอย่างคนดูดวงก็มีความเสี่ยงสูงในการใช้ชีวิต เก่งแม่นแค่ไหนก็มีสิทธิพลาดได้ตามภาษิตที่ว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ขนาดหน้าฝนๆ ยังตกไม่ทุกวันเลย

ผมว่าการพยากรณ์ให้ผู้คนนั้นถ้ายังไม่ตายจะทำตอนไหนก็ได้ แต่ที่ผมเน้นงานวิชาการเพราะยังไม่ค่อยมีใครคิดพัฒนาและปรับปรุงเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ต่อคนไทยเท่าใดนัก ส่วนใหญ่เรียนแล้วก็เอาไปประกอบอาชีพเป็นส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มองว่าทำงานวิชาการมีแต่ไส้แห้ง ทำไปก็ไม่ได้สตางค์ แต่สำหรับผมมันเป็นความสุข ถ้าผมดูดวงแล้วไม่มีความสุขไม่รู้จะดูไปทำไม ฉะนั้นผมจึงชอบที่จะทำด้านวิชาการและมีความสุขที่ได้ทำเสมอ แน่นอนเรื่องปากท้องก็ต้องแยกไม่เอามารวมกัน แต่ถ้ามุ่งแต่ดูอย่างเดียว ความโลภอาจเข้าครอบงำและอาชีพหมอดูก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกความโลภครอบงำได้ง่าย"  

ในช่วงปิดเทอมนี้เขานอนดึกทุกคืน บางคืนก็ล่วงถึงตีสามเพื่อศึกษาค้นคว้าตำราต่างๆ เกี่ยวกับโหราศาสตร์ ขณะเดียวกันเขาอ่านตำรากฎหมายไปด้วย เพราะหลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วจะเรียนต่อนิติศาสตร์ โดยเขาให้เหตุผลว่าการเรียนโหราศาสตร์ไว้ช่วยคนทางด้านจิตใจ แต่ทางนิติศาสตร์ไว้ช่วยคนช่วยทวงความถูกต้องและความยุติธรรมตามสิทธิทางสังคม

ฟังแล้วก็ต้องขอเอ่ยคำว่านับถือๆ

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026