The Sound of Music ในความทรงจำแสนสุข
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง
“มันยากที่จะเชื่อว่า เวลาผ่านไป 50 ปีแล้ว นับตั้งแต่หนังที่เต็มไปด้วยความสุุขเรื่องนี้ออกฉาย” จูลี แอนดรูว์ส กล่าวหลัง เลดี้ กาก้า นำเสนอบทเพลงเพื่อรำลึกถึง The Sound of Music บนเวทีออสการ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
และงานเฉลิมฉลองวาระ 5 ทศวรรษของหนังสุดคลาสสิกเรื่องนี้ก็ “สุข” ไม่แพ้กัน เช่นในวันที่ 19 และ 22 เม.ย. หนัง The Sound of Music ออกฉายอีกครั้งในโรงหนัง 500 แห่งทั่วสหรัฐ ขณะที่ในบ้านเรามีละครเวทีเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นไทยๆ มาให้ได้ชมกัน ดีวีดีและอัลบั้มเพลงประกอบหนังก็ถูกนำมาวางขายอีกครั้ง
หนังเพลง/ดราม่าเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกในปี 1965 กำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต ไวส์ นำแสดงโดย จูลี แอนดรูว์ส และ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ผลงานการประพันธ์ดนตรีฝีมือของ ริชาร์ด ร็อดเจอร์ส โดยมีออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ ที่ 2 เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง หนังดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ชื่อเดียวกัน ซึ่งออกแสดงครั้งแรกในปี 1959 ซึ่งนำบันทึกความทรงจำ The Story of the Trapp Family Singers ของ มาเรีย ฟอน แทรปป์ มาสร้าง แม้เรื่องจริงจะไม่สุขนัก แต่เรื่องบนจอกลับแสนสุุข
เรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเรีย ไรเนอร์ ถูกส่งตัวไปดูแลลูกๆ ทั้ง 7 ของ กัปตันฟอน แทรปป์ อดีตทหารเรือออสเตรีย มาเรียสอนให้เด็กๆ สนุกสนานกับดนตรี โดยที่ผู้เป็นพ่อไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพบว่าเด็กๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี กัปตันจึงคิดใหม่ พี่เลี้ยงสาวกับพวกเด็กยังช่วยกันทำให้คุณพ่อเจ้าระเบียบเคร่งวินัยที่เลี้ยงดูลูกๆ ราวกับเป็นทหารในค่ายดูแตกต่างไปจากเดิมด้วย
แรกนั้น The Sound of Music ฉายอย่างจำกัดโรง และได้รับคำวิจารณ์แบบผสมผสาน ก่อนจะกลายมาเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดของปี 1965 ภายหลังถูกนับว่าเป็นหนึ่งในหนังที่สร้างรายได้สูงสุดตลอดกาล สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน (AFI) จัดให้อยู่ในอันดับ 55 ของภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และอันดับ 4 ในหมวดหนังเพลง
The Sound of Music ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 10 รางวัล และคว้าไป 5 รางวัล คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม เพลงประกอบยอดเยี่ยม และตัดต่อภาพยอดเยี่ยม
จูลี แอนดรูว์ส ในวัย 79 ปี ยอมรับว่า เธอไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะกลายเป็นงานที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล “ฉันคิดว่ามันจะเป็นหนังที่น่ารัก เพราะมีส่วนผสมหลากหลายซึ่งเราทำออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด” เธอยังบอกอีกว่า “มันเป็นของขวัญสำหรับฉัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันมีเพื่อนมากกว่าที่คุณอาจจะสามารถจินตนาการได้”
หนังถ่ายทำที่ประเทศออสเตรียในช่วงเดือน เม.ย.-ก.ค. 1964 พระราชวังเลโอโปลด์สครอนของเจ้าชาย-อาร์คบิชอปแห่งซาลซ์บูร์ก ถูกนำมาใช้เป็นฉากวิลล่าฟอน แทรปป์ ขณะที่วิลล่าจริงๆ ของครอบครัวค่อนข้างจะเล็กและเรียบกว่านี้มากสถานที่ถ่ายทำของหนังกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจนถึงปัจจุบัน
ก่อนจะเริ่มต้นถ่ายทำทีมนักแสดงฝึกซ้อมฉากเต้นรำที่ทเวนตี้เซนจูรีฟ็อกซ์ ก่อนจะไปถ่ายทำที่ซาลซ์บูร์ก “สิ่งเดียวที่เราไม่ได้ใช้เวลาในการพิจารณาคือ เรื่องสภาพอากาศ ไม่มีใครบอกโปรดิวเซอร์เลยว่า ซาลซ์บูร์กเป็นหนึ่งในเมืองยุโรปที่ฝนตกมากที่สุด เมื่อไปถึงที่นั่นฝนก็ตกแทบจะตลอดเวลา ทีมงานจึงต้องใช้เวลาเฝ้ารอดวงอาทิตย์ที่จะเอาชนะเมฆหนาให้ได้ แต่นั่นก็ทำให้หนังมีภาพที่ค่อนข้างพิเศษ”
จูลี แอนดรูว์ส เรียนเล่นกีตาร์สำหรับหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ แต่เสียงกีตาร์ของเขาถูกทับด้วยเสียงจากฝีมือการบรรเลงของคนอื่น คริสโตเฟอร์ ยังร้องเพลงเองระหว่างการถ่ายทำ แต่สุดท้ายก็ใช้เสียงคนอื่น เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ถ้าผมร้องเพลงกับคนอื่นนอกเหนือจาก จูลี เสียงของผมก็อาจจะใช้ได้ แต่เพราะเสียงของ จูลี นั้นสมบูรณ์แบบ มันจึงมีความแตกต่างในเรื่องคุณภาพ”
นักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง จูลี แอนดรูว์ส ยังได้กล่าวแทนความรู้สึกของผู้คนมากมายทั่วโลกว่า หนังเรื่องนี้ทำให้คนดูชื่นชอบ เพราะบทเพลงไพเราะ รวมทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม เด็กๆ ที่น่าเอ็นดู รวมทั้งเรื่องราวการผจญภัย และความรัก
สำหรับเรา เมื่ออัลบั้มเพลงประกอบหนัง The Sound of Music ส่งจากโซนี่มิวสิคมาถึงมือ และได้เปิดฟัง (อีกครั้ง) ความทรงจำดีๆ และแสนสุขก็หวนกลับมา อาจจะไม่ใช่ความทรงจำอายุ 50 ปี แบบคุณป้าจูลี เพราะอายุยังไม่ได้ (555) แต่ก็เป็นความทรงจำอายุราวๆ 20 ปี (นับจากครั้งแรกที่ได้ชมและฟังเพลง The Sound of Music) ที่มีคุณค่า
สำหรับใครที่มี The Sound of Music [Original Motion Picture Soundtrack] ซึ่งออกวางขายในวาระครบรอบ 40 หรือ 45 ปี ขอบอกว่า อัลบั้มนี้มีส่วนที่พิเศษและแตกต่างออกไป (แต่แทร็กที่คุณๆ เรียกร้องต้องการอย่าง The Sound of Music, My Favorite Things, Do-Re-Mi และ Climb Ev’ry Mountain ย่อมต้องมีอยู่แล้ว)
สิ่งพิเศษก็อย่างเช่น เพลง Edelweiss และ Sixteen Going on Seventeen เวอร์ชั่นที่อยู่ในหนัง และเพลง Laendler บรรเลงโดยวงออร์เคสตรา ซึ่งไม่เคยรวมอยู่ในแผ่นเพลงประกอบชุดใดๆ มาก่อน ทั้งยังมี Do-Re-Mi, My Favorite Things และ So Long, Farewell ในเวอร์ชั่นที่แตกต่างซึ่งไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ทุกแทร็กมาพร้อมกับการปรับคุณภาพเสียงใหม่ เท่านี้ “ซีเรียสแฟน” ของ The Sound of Music ก็คงนิ่งเฉยไม่ได้
สำหรับเราคงจะไม่มีโอกาสได้อยู่เป็นพยานในหลักไมล์สำคัญของ The Sound of Music อีก ไม่ว่าจะครบรอบ 90 ปี หรือ 100 ปี แต่ไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปีนับจากนี้ไป ความทรงจำเกี่ยวกับหนังเพลงเรื่องนี้ก็จะยังคงงดงามและ “สุข” ในใจเราเสมอตลอดไป เชื่อว่าความรู้สึกคล้ายๆ กันนี้คงจะเกิดขึ้นและเป็นอยู่ในใจของคนมากมายทั่วโลก


