พูดให้ง่ายๆ กับคนพูดยากๆ
เราทุกคนต้องเคยเจอคนยากๆ กันบ้างแน่นอนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา คนที่เรารู้สึกว่าพูดด้วยลำบากมาก
โดย...หนูดี-วนิษา เรซ ภาพ เอพี
เราทุกคนต้องเคยเจอคนยากๆ กันบ้างแน่นอนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา คนที่เรารู้สึกว่าพูดด้วยลำบากมาก สื่อสารลำบาก ไม่รู้จะหาที่ลงอย่างไร เพราะพูดไปพูดมาก็เหมือนพายเรือวนในอ่าง หรือเขาต้องการในสิ่งที่เราให้ไม่ได้ หรือไม่พร้อมจะให้ การต่อรองก็ทำแทบไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมพูดจาดีๆ เลย อย่างไรก็ตามเราก็คงต้องพูดกันอยู่ดี เพราะในที่สุดแล้วเราก็ต้องการหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายโอเคเพื่อให้ชีวิตก้าวต่อไปได้แบบไม่ติดล็อก
วันนี้หนูดีเลยมีวิธีมานำเสนอให้ลองปรับใช้และปรับความคิดดู เป็นเทคนิคที่แนะนำกันในวงการต่อรอง ทั้งในเชิงธุรกิจและในเชิงความสัมพันธ์ ซึ่งหนูดีลองนำมาใช้และรู้สึกว่าช่วยให้การพูดจาต่อรองเพื่อหาจุดร่วมที่ทั้งสองฝ่ายมีความสุขนั้นง่ายขึ้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะง่าย เพราะการหาจุดตรงกลางนั้นยากเสมอสำหรับคนสองฝ่ายที่มีความต้องการแทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ใครทำได้และเดินออกไปแบบยิ้มทั้งคู่ได้นี่ ควรได้โล่ค่ะ เพราะเทพมาก
สำหรับหนูดีเองแล้วพบว่า คนพูดยากก็ยังคงเป็นคนพูดยากเสมอ จนนาทีที่เรา “ได้ใจ” เขา หรือเดินเข้าไปในใจเขาว่าจริงๆ แล้วลึกๆ เขาต้องการอะไร เขาหวาดกลัวอะไร เขาไม่อยากสูญเสียอะไร หรือเขาอยากได้อะไรมากๆ เมื่อใดก็ตามที่เราเดินมาถึงตรงนั้นได้ เราจะ “ตอบโจทย์” เขาได้ และมันจะเหมือนหลุดช่วงคอขวดกันเลยทีเดียว ที่ยากก็จะกลายเป็นง่าย บางทีสรุปได้ในประโยคเดียว มาลองดูกันเลยนะคะ
ขั้นที่หนึ่ง เราต้องรู้ก่อนว่า “เราต้องการอะไร” เพราะการเดินเข้าไปพูดกับคนที่พูดยากๆ นั้น บางทีเขาเองยังไม่เคลียร์เลยว่าเขาอยากได้อะไร บางทีแค่อยากทะเลาะไปเรื่อยๆ แต่หากเราต้องการจบการทะเลาะที่จุดสรุปอะไรสักอย่าง เราต้องมีจุดสรุปนั้นติดตัวไปด้วยก่อนเลย แล้วย้ำที่จุดสรุปนั้นเรื่อยๆ หลายครั้งคุณผู้ชายหลายคนรู้สึกคุยกับแฟนที่เป็นผู้หญิงตอนผู้หญิงโกรธนี่คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุณผู้หญิงจะลากยาวไปเรื่อยๆ จากเรื่องนั้นไปเป็นเรื่องนี้ เรื่องโน้น หาประเด็นหลักแทบไม่ได้เลย ส่งผลให้หัวหมุนว่าจะรับมืออย่างไรดี บางคนนั่งนิ่งและหูดับแบบเนียนๆ ส่วนบางคนเลือกวิธีเดินหนีเอาดื้อๆ (ซึ่งจะส่งผลให้โดนเดินตามและโดนบ่นซ้ำในประเด็นใหม่ว่า เดินหนี เป็นที่น่าสงสารมาก) แต่หากคุณผู้ชายพยายามย้ำว่า “ตอนน้องคุยทั้งหมดนี้แล้ว อยากได้อะไร อยากให้พี่ทำอะไร” ย้ำซ้ำๆ แบบนี้อาจช่วยให้ฝ่ายหญิงได้สติขึ้นมาบ้างว่า ในที่สุดก็ต้องบอกเขาอยู่ดีว่าเราอยากให้เขาทำตัวอย่างไร ปรับปรุงตัวตรงไหน เพราะบางทีผู้หญิงก็ไม่มีประเด็นหรอกค่ะ รู้แต่ว่าโดนทำให้น้อยใจก็จะพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ต้องการหาข้อสรุปอะไร ตรงนี้ฝ่ายรับมือต้องเดินเข้าไปพร้อมข้อเสนอเลย เช่น โอเคพี่จะปรับปรุงตัวตรงนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก น้องโอเคไหม ...ถ้าฝ่ายหญิงโอเค เรื่องก็อาจจบได้รวดเร็ว
ขั้นที่ 2 “รู้อีกฝ่าย” ซึ่งไม่ใช่แค่รู้จักเขาเท่านั้นตามประสาการรบที่บอกว่า “รู้เขารู้เรา ร้อยศึกไม่แพ้” แต่ในเชิงการพูดคุยกับคนยากๆ นั้นเราต้องตระหนักถึงข้อหนึ่งที่ว่า ลึกๆ แล้วมนุษย์ทุกคนต้องการมีความสุข และการมีความสุขนั้นต้องผ่านการกระทำอะไรสักอย่างเพื่อจะตอบสนองความต้องการลึกๆ ของเรา ความต้องการลึกๆ ตรงนี้มันรุนแรงมากค่ะ เราเองก็มี ลองถามตัวเองดูว่า เราหวาดกลัวการสูญเสียอะไรมากที่สุด และเมื่อใดที่เราเดินเข้าไปต่อรองอะไรสักอย่างที่เรารู้ว่าเราสูญเสียมันไม่ได้ ตรงนั้นละ ด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ เราจะสวิงไปมาระหว่างความโกรธที่รุนแรงและความสิ้นหวังว่าเราควบคุมชะตาชีวิตตัวเองไม่ได้ ลองนึกในทางกลับกัน อีกฝ่ายก็ไม่ต่างกับเรา หากเขาต้องคุยเพื่อต่อรองกับเราในเรื่องที่เขากลัวมากว่าจะสูญเสีย เขาเองก็จะตกเป็นทาสอารมณ์โกรธ กลัว และสิ้นหวังที่สลับกันไปมาเช่นกัน
ขั้นที่ 3 ตรงนี้เราต้องช่วยๆ กันแล้วค่ะ ลองเริ่มต้นใหม่ด้วยการไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่เราต้องเปิดศึกด้วย แต่เป็น “หุ้นส่วน” ที่เราจะมาแบ่งสันปันส่วนทรัพยากรอันจำกัดตรงนี้ให้ออกมาแล้วสวยงามที่สุด เพราะจริงๆ แล้วก็คงไม่มีใครอยากทะเลาะกับใครหรอกค่ะ แต่ที่ต้องทะเลาะและ “พูดยาก” ก็เพราะมันไม่รู้ตัวเลือกอื่นๆ ดังนั้นเราเองมาเป็นฝ่ายทำให้เรื่องมันง่ายลงหน่อย ด้วยการเตรียม “ตัวเลือก” ไว้ให้อีกฝ่ายเยอะๆ ตรงนี้ต้องครีเอทีฟหน่อยนะคะ ลองคิดถึงตัวเลือกแปลกๆ ที่ไม่ได้ต้องตรงไปตรงมาตามตัวหนังสือเสมอไปหน่อย เพราะบางครั้งแม้กระทั่งการตกลงแบ่งมรดก แบ่งสินสมรส ที่ดูแล้วแทบจะฆ่าฟันกัน พอฝั่งหนึ่งมีข้อเสนอให้เลือกมากๆ หลายข้อ อีกฝ่ายอาจเลือกเพลินและช่วยกันคิด พยายามบอกย้ำๆ ว่า “เราอยากหาทางออกที่ดีกับทุกคน ไม่ใช่แต่กับเราเท่านั้น มาช่วยกันคิดหน่อยเถอะ เรามีตัวเลือกตั้งต้นมาแบบนี้ เธอมีแบบไหน มาแชร์กันสิ”
ขั้นตอนที่ 4 “ฟังเยอะๆ” หลายครั้งเรามัวแต่คิดจะพูดและหาข้อสรุปจนลืมฟัง หรือบางทีมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะฟังได้จนจบโดยไม่อยากตอบโต้ แต่การฟังนี่ละค่ะ คือคำตอบจากสวรรค์เพราะเราจะได้รู้ว่า เขาต้องการอะไร จุดยืนของเขาอยู่ตรงไหน การพูดเรามักจะพูดในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่การฟังเราจะได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ที่สำคัญคือ รู้ว่าความต้องการลึกๆ ของเขาคืออะไรเราจะได้ปรับวิธีการรับมือได้ถูก
หากใครมีเรื่องต้องพูดจาต่อรองกับ “คนยากๆ” ตอนนี้ ลองนำวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ สำหรับหนูดีเองพบว่า ทั้งหมดเริ่มต้นที่การปรับกระบวนการคิดของเรานั่นเองค่ะ
หนูดี-วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพปริญญาโทด้านสมอง และการเรียนรู้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐผู้ก่อตั้งบริษัท อัจฉริยะสร้างได้เจ้าของและผู้ออกแบบหลักสูตรพัฒนาอัจฉริยภาพโรงเรียนวนิษา www.mindbrainedu.comและ www.vanessa.ac.th ติดตามหนูดีได้ที่ Facebook.com/mindbrainและ Instagram/Nudi_Vanessa


