เพราะเขาทั้งสองฉันจึงมองไต้หวัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลงรักใคร แต่ก็ไม่ยากเกินไปถ้าเป็น“เขา” ทั้งสอง
โดย... กาญจน์ อายุ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลงรักใคร แต่ก็ไม่ยากเกินไปถ้าเป็น“เขา” ทั้งสอง
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ตัดสินใจทำวีซ่าไปเที่ยวไต้หวันหนึ่ง เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามันคือลิตเติ้ลเจแปน สอง เพราะคำขู่ให้รีบไปเสียตอนนี้ก่อนที่จะดังระเบิด สาม เพราะโปรโมชั่นจากสายการบินโลว์คอสต์ที่ต้องรีบหาวันพักร้อน และสี่ เพราะชายหน้าตาดีที่เขาว่ากันว่ามองไปทางไหนก็เจอ
หลายปัจจัยที่กล่าวมาและเวลาที่เหมาะสมของเดือน มี.ค.จึงไม่มีเหตุผลใดมาขัดขวางให้ไปหา เขาคนหนึ่งที่อยากเจอมานาน และเขาอีกคนที่แค่เดินผ่านก็ตกหลุมรักในทันที
รักที่รอคอย จิ่วเฟิ่น
ชื่อ จิ่วเฟิ่น ได้ยินมานานด้วยกิตติศัพท์ที่ว่า ไปไต้หวัน ถ้าไม่ไปจิ่วเฟิ่น ถือว่าไปไม่ถึง คำพูดลักษณะนี้มีอยู่ทุกที่ ซึ่งไม่น่าเชื่อไปทั้งหมด จึงฟังหูไว้หู หาข้อมูลจิ่วเฟิ่นและวาดภาพในหัวไว้จางๆ
นั่งรถเมล์สาย 1062 จากสถานีรถไฟใต้ดิน Zhongxiao Fuxing (ทางออก 1) ประมาณ 50 นาที รถพาแล่นออกจากตัวเมืองสู่ชนบทจะเห็นวิวสองข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนไปที่เห็นได้ชัดคือสีเขียวตามผนังบ้าน และดินริมทางที่ชอุ่มขึ้นทุกที่ๆ
รถข้ามสะพานแล้วสะพานเล่า ผ่านธารน้ำไหลไปสู่ไหล่เขา ถนนเริ่มเปลี่ยนจากทางราบเป็นทางชัน แต่ก็ยังถือว่าอนุบาลเมื่อเทียบกับความโหดของสายไปปายหรือดอยอ่างขาง จิ่วเฟิ่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่เกือบถึงยอด พอเราไปถึงจะสัมผัสได้ถึงความชื้นในมวลอากาศ ตอนเช้าอากาศเย็นทัศนวิสัยเปิดเห็นตัวหมู่บ้านและวิวทะเลเบื้องล่าง ซึ่งแตกต่างจากช่วงบ่ายที่ทั้งเขาจะปกคลุมไปด้วยหมอก เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เมื่ออากาศเริ่มร้อนไอน้ำจึงฟุ้งกระจายแล้วจับตัวกันบนที่สูง เมื่อหนาแน่นก็กลั่นตัวเป็นฝนนั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไม 8 ใน 10 คนที่ไปจิ่วเฟิ่นถึงเจอฝนหยุมหยิม ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือไปแต่เช้า เป็นช่วงเวลาที่จะได้เจอทั้งอากาศดีและปริมาณคนยังน้อยดี เหมาะแก่การเดินชมเมือง
ถนนสายหลักคือ ถนนจีซาน (Jishan Street) เป็นซอยผ่ากลางชุมชนที่สองข้างทางเป็นร้านค้า โดยเฉพาะร้านอาหารทั้งร้านบะหมี่ลูกชิ้นปลาหมึก ร้านขายไส้กรอก ร้านไอศกรีม ถั่วบด ร้านขายเห็ดออรินจิ คาเฟ่แมว หรือร้านชาทั้งแบบโบราณและโมเดิร์นที่มีให้เลือกมากมาย ร้านอื่นๆ จะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายพู่กันจีน ร้านขายเสื้อผ้าทำมือ ส่วนของฝากก็น่าจะเป็นชาและขนมไส้สับปะรดที่ขึ้นชื่อ
จิ่วเฟิ่นในอดีตเป็นพื้นที่ทำเหมืองทองคำเก่า จึงยังมีอุโมงค์ใต้ดินที่ทิ้งร้างไว้ ซึ่งสามารถเดินไปดูได้ที่อุโมงค์ไทยางหมายเลข 5 (Taiyang No.5Tunnel) ซึ่งใกล้กับถนนจีซานที่สุด วัดมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ตั้งอยู่รายล้อมหมู่บ้าน ส่วนเส้นทางเดินเท้ามีทั้งแบบศึกษาประวัติศาสตร์ (Chintzupei Historical Trail) และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ (Keelung Mountain Hiking Trail)
นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เมืองจะสวยที่สุดคือ ตรุษจีน เพราะร้านค้าแต่ละหลังจะประดับด้วยโคมแดง หากใครเคยดูเรื่องสปิริต อะเวย์ (Spirited Away) น่าจะจำเมืองประหลาดที่ทุกบ้านแขวนโคมแดงได้ ฉากนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากจิ่วเฟิ่นนี่เอง
กลับมาที่ประโยคเดิมว่า ถ้าอยากถึงไต้หวันต้องไปจิ่วเฟิ่นจริงหรือไม่ ขอตอบด้วยความจริงคือ จิ่วเฟิ่นไม่ได้มีวิถีชีวิตของคนไต้หวันแบบดั้งเดิม เพราะได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ที่ต้องยกให้คือธรรมชาติและทัศนียภาพ ความที่เป็นเมืองเล็กๆ แต่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ทำให้มันมีเสน่ห์ด้วยตัวมันเอง ถ้าไปไต้หวันแล้วต้องไปจิ่วเฟิ่นไหม ถ้าคุณเป็นคนรักธรรมชาติ ชอบเมืองเล็ก ชอบเดินไปเรื่อย ไม่เบื่อฝนตก ไม่วิตกเรื่องขึ้นเขา จิ่วเฟิ่นก็จะทำให้มีความสุข (มาก) ทีเดียว
รักระหว่างทาง เหมากง
ขณะที่กำลังปั๊มตราประทับประจำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (ทุกๆ สถานีจะมีตรายางสัญลักษณ์ของสถานีนั้นเพื่อให้เก็บเป็นที่ระลึก) ก็เห็นแผ่นพับคิตตี้ของเดอะ เหมากง กอนโดลา (The Maokong Gondola)ให้หยิบฟรี มันคือเส้นทางกระเช้าไฟฟ้าระยะทาง 4.03 กม. ให้โดยสารจากสถานีสวนสัตว์ไทเป ผ่านวัดจือหนาน และไปสิ้นสุดที่สถานีเหมากง ในตอนนั้นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจไปไม่ใช่จุดหมาย แต่คือราคาที่จ่ายเพียง 50 บาท แล้วได้นั่งกระเช้าเล่น 30 นาที
กระเช้ามีให้เลือก 2 แบบ คือแบบธรรมดาและแบบพื้นใส ซึ่งแบบหลังจะต่อคิวนานกว่าเพราะมีกระเช้าน้อยกว่า แต่คนชอบใช้บริการ ซึ่งเอาเข้าจริงเมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วก็ไม่ได้มองพื้นล่างเสียเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สนใจวิวรอบตัวมากกว่า กระเช้าจะบรรทุกไม่เกิน 8 คน ตำแหน่งที่ได้วิวที่สุดคือที่นั่งฝั่งขวา เพราะเมื่อกระเช้าเคลื่อนไปด้านหน้า คนนั่งฝั่งขวาจะมองเห็นวิว ส่วนฝั่งซ้ายจะมองเห็นคน
ลายคิตตี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสวนสนุก ยิ่งตอนที่กระเช้าเคลื่อนลงไปตามแนวเขามันเสียววาบเหมือนได้เล่นเครื่องเล่น ตอนนั้นรู้สึกพอใจแล้วและคิดว่าพอถึงสถานีปลายทางจะลงไปถ่ายรูปเล็กน้อยแล้วนั่งกระเช้ากลับ แต่แผนกลับตาลปัตรเมื่อได้กัดไส้กรอกเข้าปากไปคำแรก
ไส้กรอกร้อนๆ มันเข้ากันดีกับอากาศหนาวๆ และมันช่างเรียกน้ำย่อยให้เดินหาอาหารลงพุงไปเรื่อยๆ บริเวณใกล้กับสถานีกระเช้าเป็นแหล่งรวมอาหาร ทั้งร้านข้าวราดแกง ร้านขายแป้งทอด ร้านชายสี่หมี่เกี๊ยว ร้านกาแฟกลางป่า และร้านชาราคาแพง รู้ตัวอีกทีก็เดินเพลินไปถึงไร่ชาขั้นบันได ครั้นจะหันหลังกลับก็โดนความสงสัยใคร่รู้สกัดไว้แล้ว เพราะยิ่งเดินไปก็ยิ่งอยากรู้ว่าบนเขานั้นมีอะไรอีกบ้าง
ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเหมากงก็คือชา ชาวบ้านที่นี่จะปลูกชาตามไหล่เขา แต่ขนาดไม่ใหญ่นัก และยังมีพิพิธภัณฑ์ชา พิพิธภัณฑ์กาต้มชาร้านขายชา หรือแม้แต่สะพานกาน้ำชา การเดินทางเพื่อชมสิ่งที่น่าสนใจเหล่านี้ไปได้ ทั้งนั่งรถประจำทางและลงป้ายตามจุดท่องเที่ยวที่เราสนใจ ขี่จักรยาน ขับรถ และเดิน ถนนที่นี่เป็นถนนสองเลนไม่กว้างมาก แต่มีไหล่ทางให้คนเดินตลอดเส้น ทั้งยังมีทางเดิน (Walking Path) ที่ทำขึ้นมาเพื่อให้เดินศึกษาธรรมชาติ ซึ่งสามารถกางแผนที่แล้วเดินตามได้ไม่ซับซ้อน
สภาพอากาศบนเหมากงคล้ายกับที่จิ่วเฟิ่น คือตอนบ่ายฝนจะตกให้ชื้นแฉะ และเมื่อเมฆสลายไปอุณหภูมิจะหนาวยะเยือกโดยฉับพลัน ถ้าถามคนเมืองร้อนอย่างฉัน ขอยืนยันว่าการเดินป่าเขตร้อนชื้นบ้านเรามันลำบากกว่ามาก อากาศหนาวชื้นจะดีกว่าตรงที่ไม่มีเหงื่อ เดินได้เรื่อยๆ และไม่ต้องถือร่มก็ยังเดินสบาย เพราะมีร่มไม้คอยบังฝนให้อยู่บ้าง
ความรักกับเขาลูกนี้ไม่รู้ว่ามันเรียกว่ารักไหม เพราะมันคือความรู้สึกดีที่ได้เดินไปแบบไร้จุดหมาย มองดูต้นไม้และดอกซากุระที่กำลังร่วงโรย มองดูคุณยายเก็บผัก มองดูคู่รักดื่มกาแฟ มองดูการผันแปรของสายหมอก มันคือความสุขที่ไม่ลวงหลอก แค่เดินและดื่มด่ำกับวินาทีนั้นเท่านั้นเอง
สี่เหตุผลที่ฟังคนอื่นมา ตอนนี้หาเหตุผลของตัวเองได้แล้ว
ข้อห้า เพราะอากาศหนาว หก เพราะค่าใช้จ่ายเหมือนอยู่ไทยเจ็ด เพราะไต้หวันไม่เหมือนใครแม้กระทั่งประเทศจีนที่พูดภาษาเดียวกันแปด เพราะอาหารอร่อย เก้า เพราะเดินทางสะดวกสบาย สิบ เพราะความเรียบง่าย และความรู้สึกอีกมากมายที่ถูกธรรมชาติปลอบประโลม
รู้หรือไม่...ในไต้หวัน
เวลาขึ้นลงบันได ยืนให้ชิดขวา เดินให้ชิดซ้าย คนไต้หวัน เขาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
หากใส่กางเกงขาสั้นจะถูกมองจน คิดว่าตัวเองเป็นดารา เพราะคนไต้หวันไม่ใส่กางเกง ขาสั้นออกจากบ้าน หากใส่ก็จะ เป็นกางเกงกีฬา หรือผู้หญิง จะใส่ถุงน่องสีเข้มไว้ด้านในอีกชั้น
คนไต้หวันไม่นิยมใส่รองเท้าแตะ หรือรองเท้าส้นสูง เพราะพวกเขาต้องเดินมากทั้งขึ้น รถไฟใต้ดินและรถประจำทาง
ในร้านอาหารจะไม่ขายน้ำ คนไต้หวันจะพกน้ำใส่กระบอก ส่วนตัวติดตัวอยู่เสมอ
ทิ้งขยะต้องแยกขยะ ทั้งถังขยะ สาธารณะ ในโรงแรม หรือ ในบ้านเรือน เพราะระบบ การเก็บขยะจะแยกเก็บ รถขยะหนึ่งคันจะเก็บขยะแค่ หนึ่งประเภทเท่านั้น
การเดินทางด้วยระบบขนส่ง สาธารณะสามารถจ่ายเงินด้วย บัตรอีซี่การ์ดเดียวกัน ซื้อและ เติมเงินได้ที่ร้านสะดวกซื้อ
มันเผาในร้านแฟมิลี่มาร์ทรสชาติ ดี ราคาถูก
หากซื้อน้ำ เช่น สั่งชานมไข่มุก แล้วบอกไม่ใส่น้ำแข็งก็จะได้ ชานมไข่มุกแบบเต็มแก้ว &O5532; ไต้หวันไม่ใช้กล่องโฟม และเมื่อซื้อของจากมินิมาร์ท จะไม่ได้ถุงพลาสติก หากต้องการ ต้องซื้อประมาณ 1.50 บาท
ในรถไฟฟ้าใต้ดินทุกแห่งมีฟรี สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่ชาร์จแบตโทรศัพท์แบบยูเอสบี มีห้องน้ำสะอาดให้ใช้ฟรี และมีตรายางให้ประทับเก็บสะสม เป็นที่ระลึก


