นิค & เรย์ บันทึกการเดินทาง ลอนดอน-กรุงเทพฯ
ระยะทางมากกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร ระยะเวลากว่า 1 ปี คือตัวเลขที่สองหนุ่ม นิคและเรย์
โดย...รอนแรม
ระยะทางมากกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร ระยะเวลากว่า 1 ปี คือตัวเลขที่สองหนุ่ม นิคและเรย์ ทำไว้เมื่อครั้งปั่นจักรยานจากลอนดอนกลับกรุงเทพฯ ความคิดนี้เริ่มต้นที่นิค “อยากปั่นจักรยานกลับบ้าน” จึงไปชวนเรย์ ผู้ไม่ขี่จักรยาน ให้ไปด้วยกัน แม้ดูเหมือนบ้า แต่เรย์ก็ตอบรับร่วมเดินทางไกลกลับไทยด้วยคน
นิค-นิคโคลัส ชาลส์ วาร์ด และ เรย์-เรวัต จังสุระ พบกันที่ประเทศอังกฤษ ทฤษฎีโลกกลมทำให้ทั้งสองคนมีเพื่อนสนิทคนเดียวกัน แต่เมื่อได้โคจรมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่กลายเป็นคู่หูที่ใช้ชีวิตร่วมกันเกือบ 1 ปี
เส้นทางข้ามทวีป
เมื่อได้เพื่อนร่วมทางแล้วก็เริ่มวางแผน โดยหลักๆ คือ เรื่องเส้นทาง สภาพอากาศ การข้ามประเทศ และเงินทุน ซึ่งเรื่องหลังตัดกังวลไปเมื่อได้วังขนายมาเป็นสปอนเซอร์ เส้นทางผ่าน 12 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ ตุรกี จอร์เจีย อาร์เมเนีย อิหร่าน อินเดีย เนปาล พม่า และไทย ถนนที่เลือกมีทั้งเส้นหลักและเส้นรอง นิคยกตัวอย่างอิหร่านเป็นเมืองที่ขับรถเร็วก็ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนเลี่ยงเมือง แต่ถ้าเป็นพม่า ถนนเส้นรองจะมีสภาพไม่ดีนัก จึงต้องไปขี่บนเส้นหลัก ซึ่งรถน้อย
ทว่าบางเส้นทางก็สร้างเซอร์ไพรส์ ทั้งสองเล่าประสบการณ์ที่มีปัญหามากที่สุดขณะเดินทาง คือที่ประเทศพม่า เมื่อเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ในแผนที่ ที่นั่นมีสะพานข้ามแม่น้ำและเส้นทางก็ดูชัดเจนบนกูเกิลแมปอย่างที่ใครเห็นก็นึกว่าถนนมอเตอร์เวย์ แต่ที่ทั้งสองคนเจอคือ แม่น้ำ ไม่มีสะพาน ไม่มีถนน แผนการจึงต้องเปลี่ยนกะทันหันเป็นนั่งเรือข้ามแม่น้ำแล้วขี่จักรยานผ่านป่าดงดิบ 3 วัน พื้นที่ที่ข้ามมานั้นเคยปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่แม้วันนี้จะอนุญาตแล้วก็ยังไม่ใช่เส้นสัญจร ชาวบ้านยังอยู่ตามริมแม่น้ำ ใช้เรือเป็นยานพาหนะหลัก และไม่เคยพบเจอนักท่องเที่ยว
สิ่งที่ไม่คาดคิดอีกอย่างคือ อุบัติเหตุ ทั้งสองเจออุบัติเหตุสองครั้ง ครั้งหนึ่งโดนเบียดที่ตุรกี และครั้งที่สองเกือบตกเขาที่เนปาล แต่ก็มีอีกครั้งที่คาดว่าอาจเกิดและมันก็เกิดจริงๆ ที่ประเทศอินเดีย กับอาการท้องเสียหลังจากดื่มน้ำในร้านอาหาร “มีคนเคยบอกแล้วว่า หากจะกินอะไรให้กินคนเดียว จะได้มีคนดูแลอีกคน” นิคพูดติดตลก และเล่าถึงการหาน้ำดื่มระหว่างทางให้ฟังว่า เขาจะพกที่กรองน้ำแบบพกพา สามารถกรองน้ำประปา น้ำจากน้ำตก จากแม่น้ำที่ไหลแรง หรือบางแห่งก็ขอตามบ้าน แต่พอผ่านบางช่วงอย่างที่อิหร่านก็ต้องซื้อน้ำขวดตุนไว้ เพราะต้องผ่านพื้นที่ทะเลทรายและไม่มีบ้านคน
น้ำใจข้ามชาติ
อย่างไรก็ตาม ตลอดเส้นทางทั้งสองได้รับน้ำใจจากคนท้องถิ่นมากมาย ตั้งแต่น้ำดื่ม อาหาร ที่พัก แนะนำเส้นทาง ช่วยเหลือเรื่องวีซ่า หรือชวนไปเที่ยวก็มี “พอเขาเห็นกระเป๋าเรา เขาก็รู้แล้วว่าเราเดินทางมาไกล เขาก็อยากถามว่าเรามาจากไหน มาทำอะไร บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็อยากช่วย” นิคและเรย์ได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าเช่นนี้ทุกประเทศ ยิ่งเข้าสู่ฝั่งตะวันออกก็ยิ่งมากขึ้น “อิหร่านจะเยอะเป็นพิเศษ” ทั้งสองลงความเห็นเหมือนกัน และกล่าวด้วยว่าอิหร่านเป็นประเทศที่เจริญ มีอารยธรรมที่ยาวนาน และมีความปลอดภัยสูง ซึ่งผิดจากสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด
นอกจากใช้ประเทศต่างๆ เป็นเส้นทางกลับบ้านแล้ว นิคและเรย์ยังหยุดแวะเที่ยวระหว่างทางเท่าที่เวลาในวีซ่าจะเอื้ออำนวย ทั้งสองยกตัวอย่างประเทศอินเดีย ที่ได้ไปเห็นชีวิตของคนในนิวเดลีและโอวด์เดลี ที่นิวเดลีผู้คนจะอยู่กันตามห้าง ร้านอาหาร แต่ที่โอวด์เดลีคนจะรีบทำงานและอยู่กันอย่างแออัด “เราก็จะได้เห็นทั้งคนรวยคนจนที่ต่างกันมาก” นิค กล่าว
หรือประเทศอาร์เมเนีย ที่นั่นนิยมสร้างโบสถ์บนหน้าผา ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี หรือประเทศอิหร่าน ประเทศต้นกำเนิดไวน์ชีลาสของจริง ก่อนจะย้ายไปออสเตรเลีย เพราะศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแผ่ ไปชมเมืองเก่าสมัยสงครามที่เปอร์เซียโปลิส และพูดคุยกับชาวบ้านที่เป็นมิตรและมีน้ำใจ
นอกจากนี้ ระหว่างทางเขาทั้งสองยังได้พบปะกับคนขี่จักรยานชาติต่างๆ ที่ใช้เส้นทางเดียวกันแต่ต่างจุดหมาย ซึ่งแต่ละคนมีวัตถุประสงค์อะไร พวกเขาเล่าว่า ส่วนใหญ่จะปั่นเพราะ “ท่องเที่ยว” แต่ก็มีอยู่บ้างที่ปั่นเพราะวัตถุประสงค์บางอย่าง เรย์ยกตัวอย่างเพื่อนนักปั่นที่เพิ่งมาหาเมื่อเร็วๆ นี้ “เขาปั่นไปเรื่อยๆ เรียนรู้การทำฟาร์มของแต่ละประเทศ เพื่อกลับไปทำฟาร์มของตัวเอง”
เรย์ยังมีข้อสังเกตด้วยว่าทำไมคนปั่นจักรยานทัวริ่งถึงเลือกผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งที่สามารถไปทางเกาหลี ญี่ปุ่น ได้เช่นกัน เพื่อนของเขาตอบว่า “เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สวย ใครๆ ก็อยากมาเที่ยว และค่าครองชีพไม่สูง” อย่างนิคก็เคยปั่นเส้นทางไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ มาแล้วก่อนที่จะปั่นเส้นทางลอนดอน-กรุงเทพฯ
ก้าวข้าม
ระยะเวลาเกือบปีที่นิคและเรย์ต้องใช้ชีวิตด้วยกัน เชื่อหรือไม่ว่าทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกันเลย “มันมีปัญหาอื่นให้คิดมากกว่า เลยกลายเป็นช่วยกันแก้ปัญหา” ฟังจากน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความจริงใจ ทำให้เชื่อได้ว่านิคและเรย์ผ่านสุขและทุกข์มาด้วยกัน โดยที่ไม่ขัดแย้งกันเลยแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดก็ตาม
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ทั้งสองคนยังไม่เริ่มขี่ไปยังจุดหมายใหม่ เพราะโดยปกติแล้วทั้งนิคและเรย์จะขี่จักรยานเพื่อใช้งานจริงๆ เช่น ขี่ไปทำงาน ไปซื้ออาหาร ไปหาคน “เราไม่ใช่นักปั่น” นิคกล่าวอย่างนั้น และเรย์เสริมว่า “เราปั่นเพื่อแทนการนั่งรถ”
ทุกเมืองสามารถเป็นเมืองจักรยานได้หมด อย่าง จ.ชัยนาท ก็กำลังถูกพัฒนาให้เป็นเมืองจักรยานด้วยแรงสนับสนุนจากวังขนาย ซึ่งนิคและเรย์เองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เพราะเป็นสายปฏิบัติไปศึกษาเส้นทางของประเทศต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร จะได้นำกลับมาปรับใช้ในพื้นที่
โลกของนิคและเรย์
ถ้าทั้งสองคนมีโลกของตัวเองคนละใบ อยากให้โลกนั้นเป็นอย่างไร นิคกล่าวถึงโลกของตัวเองว่าคือ “โลกใบนี้” เพราะขณะนี้มันก็เป็นโลกของเขา ส่วนเรย์ก็คิดไม่ต่างกัน เขาไม่มีโลกในอุดมคติ เพราะโลกใบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
“โลกมันเปลี่ยนแปลง มันไม่มีทางดีหรือแย่เหมือนเดิมไปตลอด” เรย์ กล่าว เช่นเดียวกับนิคที่เห็นว่าคนเราต้องอยู่กับทั้งสองอย่างให้ได้ “เหมือนตอนขี่จักรยาน เราจะเห็นทั้งทุกข์และสุขของตัวเองและคนรอบข้าง” ซึ่งหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็คงไม่เรียกว่า การใช้ชีวิต


