คุณหมอต้นไม้ งานอนุรักษ์บนที่สูง
เคยเป็นไหม? ที่มักจะหงุดหงิดเมื่อรู้หรือเห็นการตัดต้นไม้แบบขอไปที ที่ทำให้ต้นไม้ขี้ริ้วแทบจะเหลือแต่ตอ เพียงเพื่อจะไม่ให้กิ่งไม้ไปเกี่ยวกับสายไฟฟ้า
โดย...กองทรัพย์
เคยเป็นไหม? ที่มักจะหงุดหงิดเมื่อรู้หรือเห็นการตัดต้นไม้แบบขอไปที ที่ทำให้ต้นไม้ขี้ริ้วแทบจะเหลือแต่ตอ เพียงเพื่อจะไม่ให้กิ่งไม้ไปเกี่ยวกับสายไฟฟ้า ไม่ใช่แค่เป็นภาพที่ไม่สวยที่ร่มเงาอันน้อยนิดในเมืองหายไป แต่รู้ไหม? การตัดต้นไม้แบบผิดๆ จะทำให้ต้นไม้ป่วยและตายได้ แผลจากการตัดไม่ถูกวิธีอาจทำให้น้ำขังหากฝนตก เกิดเชื้อรากัดกินเนื้อไม้ ระยะแรกอาจส่งผลต่อการออกดอกออกผล แต่ต่อไปไม่นานไม้ต้นนั้นอาจจะยืนต้นตาย
มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะบอกว่ามีวิธีที่จะทำให้ต้นไม้อายุยืนอย่างสวยงามแล้ว พวกเขายังบอกว่าต้นไม้ใหญ่อยู่ร่วมกับเมืองได้อย่างเป็นมิตรหากดูแลอย่างถูกวิธี พวกเขาคือ “หมอต้นไม้”
จากหมออาสา สู่วิชาเรียน
ในเมืองเชียงใหม่จะคุ้นเคยกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ปีนป่ายต้นไม้ใหญ่พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ตัดแต่ง ขึ้นต้นโน้น ลงต้นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเหล่านี้เป็นทีมปีนหนึ่งในอาสาสมัครในทีมงานหมอต้นไม้ภายใต้การดูแลของ อาจารย์บรรจง สมบูรณ์ชัย จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์บรรจง กล่าวถึงความเป็นมาของกลุ่มหมอต้นไม้ในเมืองเชียงใหม่ ว่า ย้อนหลังไปเมื่อ 8 ปีที่แล้วตนเข้าอบรมเทคนิคการดูแลต้นไม้จากหมอต้นไม้จากญี่ปุ่นทำให้ทราบถึงวิธีการใหม่ๆ ทำให้จุดประกายอยากดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ด้วยวิธีการและเทคนิคใหม่ๆ แทนการใช้ซีเมนต์แบบเดิม จึงเริ่มทำงานอาสาสมัครหมอต้นไม้
“วิธีการของผมคือนำความรู้ที่เราได้จากการไปอบรมกับหมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่นมาใส่ไว้ในวิชาเรียนก่อน แล้วเวลาเราไปทำแล็บก็พานักศึกษาไปลงพื้นที่”
ในงานรณรงค์งานหนึ่งที่เมืองเชียงใหม่ อาจารย์บรรจงก็ได้เจอกับกลุ่ม Cliff Top Adventure เมื่อสี่ปีที่แล้ว ก่อนจะชวนให้มาร่วมทีมในสองปีต่อมา “เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นครูฝึกจิตอาสาให้กับหน่วยกู้ภัยด้วย งานจึงเชื่อมโยงกันได้ง่าย เนื่องจากเขามีทักษะในการปีน เราก็สอนการใช้เครื่องมือตัดจากตัวอย่างจริงทั้งวิธีการตัดไม้ให้ต้นไม้เป็นแผล การปิดโพรง จากหนึ่งต้นก็กลายเป็นหลายสิบหลายร้อยต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นไม้อายุเกิน 100 ปีแทบทั้งสิ้น”
การรวมตัวกันแบบหลวมๆ ยึดโยงทีมงานด้วยคำว่า “จิตอาสา” ทีมงานจึงเรียกว่าน้อยกว่าความต้องการที่ร้องขอให้ช่วยเหลือ ดังนั้นเป้าหมายต่อไปของอาจารย์บรรจง คือการสร้างทีมเทรนนิ่งและมีศูนย์อบรมหมอต้นไม้ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์กลางเพื่อเรียนรู้เทคนิคทั้งการตัดแต่ง และงานภาคพื้นซึ่งเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและระบบรากของต้นไม้
“ตอนนี้งานเราไปไกลถึงระดับนโยบาย เพราะผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่หรือระดับกรมป่าไม้เห็นความสำคัญ ถ้าเราจับมือเพื่อสร้างหมอต้นไม้ในทุกภูมิภาคน่าจะผลักดันให้เกิดได้ จริงๆ ผมอยากสร้างศูนย์เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ เปิดหลักสูตรการจัดการต้นไม้ใหญ่ หรือหมอต้นไม้ในมหาวิทยาลัย 2 ปี กับ 4 ปี เด็กนักศึกษาก็จะออกไปหาประสบการณ์ในศูนย์ฝึก
นอกเหนือจากนักศึกษาแล้ว ผมคิดว่าชุมชนควรจะมีคลินิกต้นไม้เพื่อให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นฐานข้อมูลด้านต้นไม้ให้เราในอนาคต ความฝันของผมคืออยากมีรถโมบายที่อุปกรณ์พร้อมสามารถจัดนิทรรศการการตัดแต่งดูแลต้นไม้ เป็นห้องเรียนเคลื่อนที่ได้ทุกพื้นที่ที่ต้องการ” อาจารย์บรรจง ให้ภาพ
ปีน-ตัด-แต่ง กับรักที่ท้าทาย
จรัลเดช ทองนาค หรือโจโจ้ หนึ่งในทีมปีน Cliff Top Adventure กล่าวถึงงานปีนเขา โรยตัว และงานบนที่สูงอื่นๆ ว่า เป็นงานที่ทำเป็นประจำ แต่เมื่อได้รับการชักชวนให้มาปีนต้นไม้ก็รับคำเชิญทันที เพราะเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะได้ทำงานที่ท้าทาย
“สิ่งแรกที่พวกเราสนใจเพราะว่าเป็นงานที่ยากก็เลยลองมาร่วมทีมกับอาจารย์บรรจง ถ้าถามว่าปีนต้นไม้เพื่อตัดแต่งกับงานบนที่สูงเหมือนหรือต่างกันไหม? เห็นชัดว่าต้นไม้จะยากตั้งแต่ก่อนปีนขึ้นเลย เพราะต้นไม้แต่ละชนิดฟอร์มต้นไม่เหมือนกัน เติบโตในที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน เราต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา ถ้าสมมติว่ากิ่งไม่มีที่ให้เรายึดเกาะจะทำอย่างไร พอขึ้นได้แล้วจะข้ามกิ่งเพื่อไปตัดจะทำอย่างไร กระบวนการค่อนข้างยาก คือต้องคิดทุกขั้นตอน พวกเราจะไปดูหน้างานก่อนหนึ่งวัน แล้วก็วางแผนว่าจะตัดกิ่งไหนบ้าง ถ้าเจอต้นไม้ที่มีบ้านเรือนหรือเสาไฟฟ้าอยู่ด้านล่างจะตัดยาก เพราะเราต้องระวังไม่ให้กิ่งไม้ไปกระทบบ้านเรือนหรือสร้างอันตรายให้คนที่สัญจรผ่านมา”
นอกจากใส่ใจในอันตรายต่อผู้อื่นแล้ว ความปลอดภัยต่อตัวเองก็มีหลายอย่างที่ต้องระวัง ทั้งจากสัตว์ที่อยู่บนต้นไม้ เช่น ผึ้ง ต่อ แตน หรือบางเจ้าบ้านอย่างสายไฟฟ้าแรงสูง พี่ใหญ่จาก Cliff Top Adventure บอกว่า “ผมเคยโดนไฟดูดครั้งหนึ่งแต่โชคดีรอดมาได้ไม่เป็นไร เราเคยคิดว่ากิ่งไม้จะเป็นฉนวนแต่ว่ากิ่งไม้สดนั้นมีน้ำอยู่ ซึ่งมันคือตัวนำไฟดีๆ นี่เอง”
เมื่อให้อธิบายขอบเขตของทีมปีนอย่างเขา โจโจ้ ก็อธิบายว่า “งานหมอต้นไม้ทีมปีนจะมีหลักๆ สองส่วน คือ งานศัลยกรรม ได้แก่ การตัดกิ่งแห้งเพื่อป้องกันการฉีกของแผลที่จะนำไปสู่การทำกิ่งหลักเน่า เพราะถ้ากิ่งหลักเน่าต้นก็จะเน่าด้วย หรือถ้าเราเจอกิ่งแห้งที่หักอยู่แล้วแต่แผลไม่สวย เราก็จะไปตัดแต่งแผลและทาน้ำยา ส่วนที่สองคือหลุมหรือโพรงที่น้ำเข้าได้เราก็จะทำหน้าที่อุดรูโหว่นั้น ส่วนประกอบสุดท้ายก็จะเป็นพวกกาฝากหรือพืชชนิดอื่นที่ไปเกาะบนต้นไม้ เราเรียกงานประเภทนี้ว่างานรื้อถอน”
อายุงานบนต้นไม้ร่วม 2 ปี ตัวแทนของ Cliff Top Adventure บอกความรู้สึกหลังจากได้มาทำงานกับต้นไม้ว่า “ผมเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนมองต้นไม้ก็เฉยๆ ไม่เห็นค่าเลย ต้นไม้ก็คือให้ร่มเงา แต่พอขึ้นไปตัดกิ่งแห้งเรารู้เลยว่ากว่าเขาจะเติบโตยืนหยัดมีชีวิตรอดมาจนถึงป่านนี้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ สิ่งที่ผมทำตอนนี้ถ้าสมมติผมรักษาต้นไม้หนึ่งต้นให้อยู่ได้อีก100 ปีถือว่าพวกผมประสบความสำเร็จมากในอาชีพผม”
โจโจ้ ฝากถึงคนที่อยากเป็นหมอต้นไม้ว่า งานต้นไม้เป็นงานใหม่แต่ไม่ยาก แต่ต้องเรียนรู้เทคนิค เช่น การยึดโยง การนำเชือกขึ้น เทคนิคการปฏิบัติต่อต้นไม้ก็มีครูสอนอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดก็คือ “หัวใจ” เพราะถ้าใจไม่พร้อมก็จบตั้งแต่ยังไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ
โรงเรียนต้นไม้ในกรุงเทพฯ
ขณะที่กลุ่มในเชียงใหม่ก็แข็งขัน ในกรุงเทพฯ กลุ่มต่อสู้เพื่อต้นไม้ใหญ่อย่างบิ๊กทรีก็ริเริ่มให้มีโรงเรียนต้นไม้แล้วเช่นกัน โดย อรยา สูตะบุตร ตัวแทนจากกลุ่มบิ๊กทรี เล่าถึงความเป็นมาของโรงเรียนต้นไม้ ว่า การรณรงค์เรื่องการดูแลต้นไม้ใหญ่ทำให้ได้รู้จักกับครูต้อ-อาจารย์ธราดล ทันด่วน หมอต้นไม้อีกท่านหนึ่งที่ดูแลต้นไม้ใหญ่ทั่วประเทศ และเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าควรจะสร้างบุคลากรที่รู้วิธีการดูแลต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะในเขตเมืองในระยะยาว จึงเกิดแนวทางของโรงเรียนต้นไม้ขึ้น
“เรามีข้อสรุปว่าจะสอนตัดแต่งต้นเดิม เพราะนอกจากต้นไม้มันจะได้อยู่คู่กับเมืองได้อย่างเป็นมิตรแล้ว จะเป็นการลดข้ออ้างของการตัดต้นไม้โดยไร้เหตุผลได้ด้วย เราจึงเชิญคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมร่างหลักสูตรโรงเรียนต้นไม้ขึ้น นอกจากจุฬาฯ แล้วเราก็ได้เครือข่ายที่เป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นครูคือโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รักต้นไม้มาก และมีต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ที่ได้รับการดูแลอยู่จำนวนมาก”
ตัวแทนกลุ่มบิ๊กทรี ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่หมอต้นไม้ต้องรู้นอกจากศาสตร์การตัดแต่งต้นไม้แล้ว ต้องรู้เรื่องโรคของพืช การจัดการภูมิทัศน์ การปลูก จากนั้นก็ขึ้นต้นไม้เพื่อทดลองตัดแต่งจริง
“เราถือว่าเป็นโรงเรียนต้นไม้แห่งแรกในประเทศไทยเลยนะที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่แข็งแรง ไม่มีปัญหาโรคประจำตัว น้ำหนักตัวไม่เยอะเกินไป ไม่กลัวความสูง และมีเวลาที่จะเรียนรู้เข้ามาเรียน ซึ่งต่อไปหมอต้นไม้หรือรุกขกรจะเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการมาก เพียงแต่ว่าตอนนี้คนยังไม่รู้จัก”
“บิ๊กทรีเปิดอบรมรุกขกรมาแล้ว 2 รุ่น ซึ่งเปิดรุ่นที่ 3 ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ตอนนี้คนที่จบจากโรงเรียนต้นไม้ก็มีงานรองรับ แต่เราก็อยากให้รุกขกรรุ่นใหม่มีงานที่สม่ำเสมอ ซึ่งคาดว่าจะมีโปรเจกต์ระยะยาว มีพื้นที่ให้เข้าไปช่วยดูแลต้นไม้ใหญ่ มองแง่อาชีพ เราอยากให้รุกขกรเป็นอาชีพใหม่ที่เลี้ยงตัวเองได้ เป็นงานประจำที่สร้างรายได้ ขณะเดียวกันก็ทำงานอนุรักษ์ได้ด้วย” ตัวแทนจากกลุ่มบิ๊กทรี กล่าว
ขณะที่ มัตตัญญู เมฆสวัสดิ์ หรือเจื้อยแจ้ว รุกขกรจากโรงเรียนต้นไม้ บอกว่า “จากเดิมเราก็ใส่ใจสนใจต้นไม้ในเมืองอยู่แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าการต้นไม้ในเมืองใหญ่ทำแบบขอไปทีคือตัดโล่งเตียนซึ่งทำให้ต้นไม้สุขภาพไม่ดี และเป็นโรค ซึ่งการเข้ามาเรียนในโรงเรียนต้นไม้ทำให้เรารู้ว่าการตัดแต่งที่ถูกต้องทำอย่างไร ไม่ใช่แค่บ่นหงุดหงิดเหมือนที่เคยทำ”
เมื่อถามว่าลักษณะงานที่ดูเหมือนจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงทำได้ไหม? รุกขกรสาวบอกว่า จริงอยู่ว่าสรีระหรือพละกำลังของผู้หญิงอาจจะเป็นรอง และความอดทนที่จะอยู่บนต้นไม้นานๆ ไม่เท่าผู้ชาย แต่เรื่องการวางแผนและการดูแลความปลอดภัยก็เป็นงานที่ผู้หญิงสามารถทำได้
“ต้นไม้ต้องการคนดูแล สำหรับเจื้อยมองว่าไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายสามารถทำงานนี้ได้หมด ถ้าเราอยากให้ต้นไม้ในเมืองอยู่กับคนได้อย่างปลอดภัย เราก็ต้องมีคนดูแล ถ้าอยากให้อยู่ด้วยกันนานๆ ก็ต้องผลิตคนที่สามารถดูแลต้นไม้เหล่านั้นได้ไปช่วยเสริม”
ที่สุดแล้ว หมอต้นไม้จะเป็นหนึ่งในทางรอดของพื้นที่สีเขียวในประเทศไทยหรือไม่ คงจะต้องติดตาม...


