‘ตะลึงงันและสั่นไหว’
นายกฯ ไทยและภริยาเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น บวกด้วยกระแสญี่ปุ่นฟีเวอร์ คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดในบ้านเรา
นายกฯ ไทยและภริยาเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น บวกด้วยกระแสญี่ปุ่นฟีเวอร์ คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดในบ้านเรา เลยหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังจากที่อ่านครั้งแรกเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว
แต่ความจริงไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่ตั้งอยู่บนหิ้งหนังสือที่สันปกของชื่อมากระทบกับสายตาพอดี เพียงหาเหตุผลให้ดูดีมากขึ้นในการอ่าน
“ตะลึงงันและสั่นไหว” (Fear and Trembling) ต้นฉบับที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสคือ “Stupeur et Tremblements”ออกมาในปี 2542 หรือ 16 ปีที่แล้ว ได้รับรางวัลใหญ่ด้านนวนิยายจากราชบัณฑิตยสถานฝรั่งเศส (Grand Prix du roman de l’Académie française) และรางวัล Prix Internet Du Livre
ฉบับแปลภาษาไทยนั้นแปลโดย ณัฐปคัลภ์ ทองสวัสดิ์ และ ตวงทอง สรประเสริฐ
มาทำความรู้จักจิตวิญญาณญี่ปุ่นร่วมสมัยในสายตาของผู้หญิงยุโรป คนเขียนนวนิยายเรื่องนี้ อาเมลี โนโธมต์ (Amelie Nothomb)
เธอเป็นลูกสาวของเอกอัครราชทูตเบลเยียมประจำญี่ปุ่น เกิดในญี่ปุ่น อยู่จนอายุ 5 ขวบ แล้วย้ายตามครอบครัวไปอยู่ประเทศต่างๆ
เมื่อเรียนจบ เธอเลือกที่จะกลับมาเริ่มต้นทำงานที่แรกในญี่ปุ่น ตามความใฝ่ฝันและเสียงเรียกร้องภายในใจที่ขังไว้ตั้งแต่วัยเด็ก
กระแสสำนึกของ อาเมลีซัง ในบันทึกเรื่องราวตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ได้มีโอกาสทำงานในบริษัท ยูมิโมโตะ คอร์เปอเรชัน เปรียบประดุจคนนอกที่พยายามจะเป็นคนใน...มองเข้ามา
เธอวิพากษ์โลกและภาพของ “ผู้หญิง” ที่เป็นตัวแทนของสังคมญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง 2 วัฒนธรรม คือ ตะวันตกแบบยุโรปที่มีเบลเยียมเป็นตัวแทน กับจารีตนิยมตะวันออกแบบญี่ปุ่นในโลกร่วมสมัย
เทคนิคการเขียนที่ผ่านการเล่าเรื่องแบบกระแสสำนึก (Stream of consciousness) ซึ่งเป็นกลวิธีเล่าเรื่องหรือบรรยายเรื่องโดยเป็นมุมมองการสำนึกของตัวละครนั้นๆ คล้ายบทรำพึง ไหลไปเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำเรื่อยไหลรินอย่างเนิบช้า ทำให้รู้สึกเหมือนเข้านั่งในหัวของตัวละคร
ด้วยภาษาที่เรียบง่าย กระชับตัดตรง ทำให้สิ่งที่เธอคิดและเล่าออกมากระทบอารมณ์ความรู้สึกของคนอ่านได้โดยตรง แทงลึกเข้าไปทันที
การวิพากษ์ ฟุบูกิ ซึ่งเป็นตัวละครที่แทนผู้หญิงญี่ปุ่นซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่มนุษย์จะไปถึงได้ในสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัย เป็นเจ้านายที่คอยดูแลการทำงานของเธอโดยตรง ถูกเธอชำแหละอย่างถึงเลือดถึงเนื้อและเอากระดูกมาขัดให้ขึ้นมันเงาเพื่อทำเครื่องประดับ
“...แต่สำหรับผู้ชายญี่ปุ่น พวกเขาไม่ต้องเผชิญกับอะไรแบบนี้ สังคมไม่ได้พยายามยัดเยียดอุดมการณ์หายนะให้พวกเขาตั้งแต่วัยเด็ก เหมือนที่ทำกับผู้หญิง พวกเขามีสิทธิทำทุกอย่างตามหลักมนุษยชนเต็มที่ มีสิทธิฝันมีสิทธิหวัง มีโอกาสได้จินตนาการถึงโลกที่เขาได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของทุกอย่าง
“ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงญี่ปุ่นที่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมอย่างดี จะไม่มีวันคิดอะไรแบบนี้ จินตนาการของพวกเธอจะมีก็แต่การตัดแขนตัดขาตัวเองเพื่อพึ่งพิงผู้ชายให้มากที่สุด นี่แหละที่ทำให้ฉันยกย่องผู้หญิงญี่ปุ่นนักหนาว่า ดูเธอใช้ชีวิตในสังคมเช่นนี้ได้อย่างไร โดยที่ไม่คิดอยากฆ่าตัวตายสักครั้ง ในเมื่อการมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับต้องปฏิเสธทั้งความเป็นตัวของตัวเองและความมีศักดิ์ศรี” (หน้า 81-82)
หรือแม้กระทั่งระบบสายการบังคับบัญชาในที่ทำงานที่ส่งผ่านเป็นทอดๆ ดังปราการเหล็ก จากต่ำสุดขึ้นไปสู่สูงที่สุด อาเมลีซัง ในสายตาของคนญี่ปุ่นกลับมองว่า
“...แม้ว่าจะมีตำแหน่งการงานในระดับผู้บริหาร แต่เขาก็มีสถานะเป็นทั้งทาสและผู้บงการไปพร้อมกัน ในระบบที่บอกได้ว่าเขาไม่ชอบมันเลยแม้แต่น้อย แต่แน่นอนว่ามันเป็นระบบที่ไม่มีทั้งช่องโหว่และไม่มีทั้งจินตนาการด้วยเหมือนกัน” (หน้า 132)
ไม่น่าแปลกใจที่นวนิยายเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรปที่เคารพอิสระ เสรีภาพ และสิทธิในเพศสภาพ จนทำเป็นภาพยนตร์ออกมาด้วย แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ โด่งดังในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
หากจะวิเคราะห์ให้ลงลึกก็คือ นวนิยายเรื่องนี้เปรียบเสมือนเสียงในหูที่พูดแทนปากของพวกผู้หญิงญี่ปุ่นสมัยใหม่โดยแท้ จี้จุดใจดำเข้าไปข้างในถึงก้นบึ้งของหัวใจและการเก็บกดทางอารมณ์ความรู้สึกที่ระเบิดออกมาเป็นถ้อยคำไม่ได้ ทั้งที่เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวทุกเมื่อเชื่อวัน ในสังคมที่ผู้ชายมีอำนาจสิทธิขาดหมดทุกอย่าง
การเข้าใจจนถึงแก่นของการทำงานแบบญี่ปุ่น เพศสภาพ และนำออกมาเล่าด้วยอคติแบบผู้หญิงยุโรป ช่างเต็มไปด้วยความร้อนแรงจัดจ้าน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่อาเมลียอมรับเมื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบก็คือ “การยอมจำนน” ยอมแพ้และถอยออกมาอยู่ในฐานะคนนอก และไม่พยายามอยากเข้าไปเป็นคนในอีกเลย
เพราะเธอรู้ซึ้งถึงความเป็น “ญี่ปุ่น” มากกว่าคนญี่ปุ่นเสียอีก


