นั่งรถเที่ยวลาว (1) สวัสดีเชียงคาน สะบายดีไซยะบุรี
ไปเมืองนอกแบบไม่ต้องพึ่งเครื่องบินมีหลายเส้นทาง ด้วยบริการของรถ บขส. 999
โดย...กาญจน์ อายุ
ไปเมืองนอกแบบไม่ต้องพึ่งเครื่องบินมีหลายเส้นทาง ด้วยบริการของรถ บขส. 999 ที่เปิดเส้นทางเชื่อมโยงไปประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ที่หยิบยกมาวันนี้คือเส้น เลย-หลวงพระบาง เปิดบริการไปเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นเส้นที่ถนนดีที่สุดแล้วในการไปหลวงพระบาง แต่หากเดินทางจากกรุงเทพฯ สมควรอย่างยิ่งที่จะนั่งรถทัวร์ กรุงเทพฯ-เชียงคาน (มีให้เลือกหลายบริษัท) แวะค้างแรมที่หมู่บ้านเลียบโขงที่ใครหลายคนว่ามันเปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีเสน่ห์ของวิถีชีวิตดั้งเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นค่อยจับรถเข้า สปป.ลาว ทว่าแทนที่จะนั่งยาวไปหลวงพระบาง อยากแนะนำให้ลงกลางทางที่แขวงไซยะบุรี
ไซยะบุรี เป็นแขวงเทียบเท่าจังหวัดที่วันนี้ทาง สปป.ลาว ต้องการพัฒนาให้เป็นเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยก่อนจะเดินทางไปหลวงพระบาง และทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ก็กำลังผลักดันให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวใหม่เชื่อมโยง 2 แผ่นดิน แต่อุปสรรคตอนนี้คือ คนไทยยังไม่รู้จักไซยะบุรี
แต่อีกประเดี๋ยวคงรู้...
กรุงเทพฯ-เชียงคานค่ำน้ำโขง
รถทัวร์จากสถานีขนส่งหมอชิตไปยังเชียงคาน จ.เลย มีให้เลือกหลายบริษัท ส่วนใหญ่จะออกจากกรุงเทพฯ ช่วงหัวค่ำแล้วไปถึงเชียงคานช่วงหัวรุ่ง รถจะไปจอดที่ตลาด เมื่อเท้าแตะพื้นแวะซื้อปาท่องโก๋ยัดไส้ร้านลุงมุกก่อนเข้าที่พักก็น่าจะดี มีให้เลือกทั้งไส้เนื้อสัตว์ ไส้กล้วย หรือจะจัดเต็มรับประทานอาหารเช้าสไตล์เชียงคาน
ตัวเมืองเชียงคานจริงๆ มีขนาด 867 ตร.กม. แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินหรือขี่จักรยานอยู่บริเวณเส้นชายโขงซึ่งยาวประมาณ 3 กม. ด้วยความยาวเพียงเท่านี้ทำให้ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถนนจะหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว เรียกได้ว่าถนนคนเดินมีแต่คนเดินจริงๆ ใครริจะขี่จักรยานช่วงเย็นเป็นอันต้องถอดใจ ดังนั้นเชียงคานจะน่าเที่ยวมากที่สุดวันธรรมดา ถึงแม้ร้านรวงจะเปิดไม่ครบเพราะมีบางร้านเลือกเปิดแค่เสาร์-อาทิตย์ แต่คุณก็ไม่ได้พลาดอะไรไป ร้านที่เปิดทุกวันคือบ้านเก่าที่เจ้าของยังเป็นคนเชียงคาน บางบ้านเปิดห้องพักให้เช่า บางหลังเปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร เป็นการปรับตัวไปตามสภาพเมืองที่เปลี่ยน ส่วนร้านที่ปิดประตูเงียบเดาได้เลยว่าเจ้าของเปลี่ยนมือไปยังคนเมืองอื่นแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าเชียงคานวันธรรมดาคือความจริง แม้วิถีชีวิตจะไม่ดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนเมืองมักกล่าวถึงเชียงคานแบบนี้ แต่จะให้ที่นี่เหมือนเดิมตลอดกาลคงเป็นไปไม่ได้ มันคงเห็นแก่ตัวเกินไปที่มองการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในขณะที่สังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่จะทำอย่างไรให้เปลี่ยนแต่ยังคงเสน่ห์ไว้ต่างหากคือโจทย์สำคัญ ซึ่งเชียงคานก็ทำได้ไม่เลว
บ้านไม้สองชั้นยังคงเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ถูกซ่อมแซมให้แข็งแรง ทาสีใหม่ จัดไลท์ติ้ง ตกแต่งด้วยของดีไซน์เก๋ ทำให้คนโฟกัสไปที่ของสวยๆ งามๆ จนลืมมองว่ามันยังเป็นบ้านไม้เก่าแก่ บางบ้านไม่อยากซ่อมแซมก็ปล่อยให้ผนังหลุดลอกเผยให้เห็นไม้ไผ่ที่สานเป็นผนังด้านใน กลายเป็นจุดเรียนรู้อีกอย่างในด้านงานก่อสร้างสมัยโบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่ยังใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน บ้างรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มนวดไทยป้าก้อยใช้ทักษะวิชานวดระดับมือฉมังมอบประสบการณ์ยืดเส้นสลายความเมื่อยให้ผู้มาเยือน บ้างยังทำหัตถกรรมผ้านวมตรานิยมไทย มอบความอุ่นสบายให้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ส่วนบุรุษสูงวัยที่มีเรือคู่ใจก็รวมตัวกันเปิดบริการนั่งเรือชมโขง 3 เส้นทางไปแก่งคุดคู้ แม่น้ำเฮือง และชมพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อเก็บสัมภาระเข้าที่พักและชำระร่างกายเรียบร้อย ก็ควบจักรยานที่ทางที่พักอภินันทนาการให้ (ที่พักส่วนใหญ่จะมีบริการให้ยืมจักรยานใช้ได้ฟรี) สำรวจเส้นชายโขง เลนจักรยานที่น่าปั่นไม่ใช่เลนถนนปกติแต่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง หากมีกำลังก็ปั่นเลยไปแก่งคุดคู้อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงคาน 3 กม. ถ้าคิดว่าไหวก็ไปโลด
เมื่ออาทิตย์ใกล้อัสดงควรหวนกลับถิ่น ทิ้งจักรยานแล้วไปติดต่อขึ้นเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดศรีคุนเมือง (ระหว่างซอย 6-7 ล่าง) ทริปนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน 1 ชม. เป็นกิจกรรมที่ไม่น่าพลาด โดยเฉพาะในช่วงนี้ปลายหนาวต้นร้อน พระอาทิตย์จะดวงใหญ่กลมโตไร้เมฆบดบังและแสงสีส้มที่สาดบนท้องฟ้านั้นยังเข้มสด ระหว่างจดจ้องอยู่กับพระอาทิตย์อย่าลืมสังเกตบนฟ้าและเหนือผิวน้ำ ฝูงนกกำลังบินกลับรังสวนทางหัวเรือ บางกลุ่มจับจองน่านฟ้า บางกลุ่มปักษาจับจองน่านน้ำ เมื่อสิ้นสุดเขตเส้นทางเดินเรือตรงกับเวลาพระอาทิตย์ลับหลังเขาไปพอดี ลุงนายท้ายเรือก็หันหัวกลับไปทางเดิม ไปยังทางเดียวกับนกที่กำลังกลับรัง พอถึงฝั่ง ถนนคนเดินก็เปิดพอดี อย่าพลาดชิมกุ้งแม่น้ำโขงย่าง เมี่ยงคำ ข้าวจี่ ไข่ป่าม และนมอุ่น หรือไปนวดขาให้หายระบมที่เฮือนแม่ก้อย
เช้าข้าวเหนียว
ตีห้าครึ่งควรตื่นได้แล้ว แต่ยังไม่ต้องอาบน้ำขอแค่ล้างมือให้สะอาดก็พอ การตักบาตรข้าวเหนียวจะเริ่มเวลา 6 นาฬิกา แต่ถ้าตื่นก่อนจะเห็นสองบรรยากาศ ก่อน 6 นาฬิกาถนนเงียบกริบ มีเพียงคนแก่กำลังปูเสื่อและวางกระติ๊บข้าวเหนียวอย่างเงียบๆ อยู่หน้าบ้าน แต่เมื่อเข็มสั้นชี้เลข 6 ตรงเป๊ะเมื่อใด จะเห็นนักท่องเที่ยวแห่ออกจากที่พัก มานั่งบนเสื่อที่เตรียมทุกอย่างไว้แล้วรอพระสงฆ์มาบิณฑบาต หนำซ้ำยังมีรถทัวร์มาส่งนักท่องเที่ยว และแม่ค้าขายของก็เดินวุ่นเต็มถนน เล่นเอาเช้าอันสงบเงียบกลายเป็นเมืองตื่นถึงขั้นตระหนก น่าจะดีกว่าถ้าแม่ค้าตั้งร้านขายของเป็นจุดๆ ไป ไม่เซ้าซี้คนใส่บาตรจนสร้างความรำคาญ จนเกิดบาปในใจ ส่วนฆราวาสควรอยู่ในภาวะสำรวมทั้งกายวาจาใจ ช่วยกันรักษาการตักบาตรข้าวเหนียวให้เป็นเรื่องวัฒนธรรมมิใช่สิ่งต้องทำเมื่อมาเชียงคาน
พอข้าวเหนียวหมดกระติ๊บเหล่านักท่องเที่ยวก็กลับเข้าที่พัก เหลือแต่เพียงชาวบ้านตัวจริงที่ยังนั่งคอยพระสงฆ์จากวัดไกลที่ยังเดินมาไม่ถึง ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเชียงคานเมื่อตักบาตรข้าวเหนียวแล้ว จะนำอาหารคาวหวานไปถวายแด่พระสงฆ์ที่วัด ดังนั้นหลังจากที่พระสงฆ์รูปสุดท้ายผ่านไป ชาวบ้านจะนุ่งผ้าถุงห่มสไบหิ้วปิ่นโตไปถวายภัตตาหารที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งนักท่องเที่ยวน้อยคนนักจะทำเช่นนั้น
หากวันนี้ตักบาตร พรุ่งนี้มักนั่งรถขึ้นภูทอกชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น สองอย่างนี้ค่อนข้างเป็นแพตเทิร์นสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยู่เชียงคาน 3 วัน 2 คืน แต่หากใครมีเวลาอีก 2 คืน น่าจะไปเที่ยวแขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ไปง่ายเพียงเดินทางจากเชียงคานไปสถานีขนส่ง จ.เลย แล้วซื้อตั๋วรถ บขส. 999 สายเลย-หลวงพระบาง รอบ 08.00 น. (มีรอบเดียว) แต่แทนที่จะไปหลวงพระบางก็บอกไปลงไซยะบุรี ค่าโดยสารจากราคาเต็ม 700 บาท จะเหลือ 500 บาท และเลือกที่นั่งฝั่งขวาเพราะได้วิวดีกว่าขณะเดินทาง
เลย-ไซยะบุรีชนเผ่า
แขวงไซยะบุรีห่างจากด่านพรมแดนบ้านนากระเซ็ง จ.เลย 218 กม. ระหว่างทางจะผ่านเมืองแก่นท้าว เมืองปากลาย เมืองเพียง และเข้าไซยะบุรี แม้รถทัวร์จะแล่นม้วนเดียวจบ มีแวะที่เดียวให้รับประทานอาหารกลางวันและเข้าห้องน้ำที่ร้านน้ำปุย (เมืองเพียง) ไม่ได้แวะจอดให้ดูชุมชนเผ่าเมี่ยนที่บ้านเวียงคำ หรือแวะซื้อผ้าลายน้ำไหลของชาวไทยลื้อที่บ้านแสงเจริญ แต่วิวทุ่งนาสองข้างทาง ฝูงวัวฝูงควาย ไม่เว้นแต่เด็กเล่นทราย ก็พอทำให้รู้จักเมืองที่เราไม่เคยรู้จักนี้แม้เพียงเผินๆ
เส้นทางจากด่านพรมแดนบ้านนากระเซ็ง (ท่าลี่) ไปหลวงพระบางเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเดินทางโดยรถยนต์ระยะทาง 343 กม. เป็นถนนลาดยางเกือบทั้งเส้นจะมีทางซ่อมบ้างแต่ไม่เป็นอันตราย จังหวัดไซยะบุรีจะถึงก่อนคิดเป็นระยะทางจากด่าน 218 กม. ช่วงที่ห้ามพลาดคือ เมืองเพียง ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไซยะบุรี สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนาที่ตอนนี้ชาวบ้านกำลังลงแขกดำนา ปักชำต้นกล้าเป็นทิวสีเขียวน้อยๆ เส้นนี้จะสวยที่สุดช่วงกรีนซีซั่น มิ.ย.-ก.ย. ผืนนาจะกลายเป็นพรมสีเขียวสดตั้งแต่ริมถนนจรดสุดสายตา และจะเปลี่ยนเป็นสีทองราวเดือน พ.ย.
ส่วนไซยะบุรีมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากคุณหญิง-จิตรา ผดุงศักดิ์ คนไทยที่เข้ามาทำธุรกิจใน สปป.ลาว นาน 13 ปี เธอเล่าว่าไซยะบุรีเป็นถิ่นของคน 11 ชนเผ่า ยกตัวอย่างชนเผ่าไปรหรือปรัย ที่อาศัยอยู่ อ.ไชยปราการ ชาวไปรมีจุดเด่นที่คนในเผ่าต้องนอนรวมกันภายในบ้านหนึ่งหลังซึ่งเผ่าอื่นไม่เป็น หรือเรื่องที่ว่าไซยะบุรีมีช้างมากที่สุดใน สปป.ลาว คาดว่าเคยเลี้ยงไว้ลากซุง ขนข้าว ขนไม้ ซึ่งปัจจุบันเหลือประมาณ 800 เชือก และทุกวันที่ 13-15 ก.พ. ของทุกปี ไซยะบุรีจะจัดงานบุญช้าง เป็นงานบุญใหญ่ที่คนทุกเผ่าจะมารวมกันเลี้ยงอาหารและบายศรีสู่ขวัญช้าง และอีกเรื่องเกี่ยวกับการตักบาตร ไซยะบุรีเป็นที่เดียวในประเทศที่จะกรวดน้ำก่อนใส่บาตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่นี่
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวมีทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามต้องยกให้อ่างเก็บน้ำน้ำเตียน สถานที่ดูพระอาทิตย์ตกที่น่าจะสวยที่สุดน้ำเตียนเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีเกาะที่พบรอยพระพุทธบาทโดยประชาชนสามารถข้ามสะพานไม้ไปสักการะได้ และมีร้านอาหารเรือนแพให้บริการอาหารรสชาติค่อนข้างถูกปากคนไทยและเป็นโลเกชั่นที่ดีเยี่ยมสำหรับนั่งดูธรรมชาติอันสงบนิ่ง ส่วนวัดที่คนไซยะบุรีศรัทธามากคือวัดพระใหญ่ สักการะพระศักดิ์สิทธิ์ในพระอุโบสถ และชมความงามของจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้ด้านนอกหรือฮูปแต้มอย่างที่ชาวอีสานเราเรียก
การท่องเที่ยวในไซยะบุรีไม่มีรถโดยสารสาธารณะ ทางที่ดีที่สุดคือเดิน ต้องใช้ชีวิตให้สโลว์ไลฟ์ที่สุดในเมืองที่เนิบช้าเป็นปกติ เดินไปวัด เดินชมบ้านเรือน เดินไปตลาด เดินไปร้านข้าว เดินไปร้านคาราโอเกะ แต่อ่างเก็บน้ำน้ำเตียน เดินไปไม่ได้ ควรติดต่อให้โรงแรมหารถรับจ้างมารับจะสะดวกที่สุด
โรงแรมในไซยะบุรีมีหลายแห่ง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่ส่วนมากยังไม่มีมาตรฐานทั้งเรื่องความสะอาด สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการ แต่ส่วนน้อยที่ครบครันก็มีที่โรงแรมนกอินทรี ซึ่งเป็นโรงแรมต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของแขวงนี้
คุณหญิงได้พาไปรู้จักกับ บุญภัก อินทปัญญา หัวหน้าแผนกแถลงข่าวท่องเที่ยวและวัฒนธรรมแขวงไซยะบุรี หรือที่ชาวลาวเรียกเธอว่า “แม่ภัก” เธอมีความตั้งใจจะพัฒนาไซยะบุรีให้เป็นจุดแวะพักของนักท่องเที่ยวก่อนที่จะเข้าหลวงพระบางอย่างน้อย 1 คืน ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างโรงแรมให้มีมาตรฐาน และจะพัฒนาจุดที่สามารถทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งวัด อ่างเก็บน้ำ หรือแม้กระทั่งเขื่อนไซยะบุรีที่ตอนนี้สร้างเสร็จไปแล้วประมาณ 40% เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้ในอนาคต
อย่างไรแล้วถ้าดูจากสถานการณ์ในวันนี้ คิดว่าไซยะบุรีจะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะชาวบ้านยังมีอาชีพเกษตรกรรมที่เลี้ยงชีพมาแต่โบร่ำโบราณ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีการท่องเที่ยวเข้ามาพวกเขาก็ไม่เดือดร้อน อีกด้านหนึ่งอาจมีคนตั้งคำถามว่า แล้วชาวบ้านต้องการการท่องเที่ยวหรือ? เรื่องนี้คงเป็นโจทย์ของแม่ภักที่จะทำอย่างไรให้การพัฒนาและวิถีดั้งเดิมเดินไปพร้อมๆ กันได้
ส่วนฝั่งไทย ตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ได้ออกแผนที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงเลย-ไซยะบุรี-หลวงพระบาง และโปรแกรมการเดินทางอย่างละเอียดลงในเว็บไซต์ www.เที่ยวอีสาน.com เป็นที่เรียบร้อย เพื่อหวังให้คนไทยเดินทางมาเที่ยว จ.เลย เชื่อมไป สปป.ลาว และคนลาวเดินทางเข้ามา จ.เลย ผ่านถนนเส้นนี้มากขึ้น เหมาะเจาะกับการต้อนรับประชาคมอาเซียนปลายปี 2558 และเบิกเส้นทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสายใหม่ ซึ่งในอนาคต สมฤดี ชาญชัย ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท. จะเปิดเส้นทางสี่เหลี่ยมวัฒนธรรม เลย-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์-หนองคาย เชื่อมโยงวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันของลาวและภาคอีสานให้เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ
สำหรับใครที่มาไซยะบุรีตอนนี้คือมาเสพความดิบของบ้านเมือง ความไม่พร้อมสรรพแบบเมืองหลวง หันมองทางไหนก็ไม่มีนักท่องเที่ยว และชาวบ้านยังสงสัยว่าคนแปลกหน้ามาทำอะไรที่บ้านเมืองตน ทุกอย่างคือเสน่ห์ ที่ถ้าวันหนึ่งไซยะบุรีถูกพัฒนาแล้วจะนำกลับคืนมาไม่ได้ แต่หากใครคิดว่าตัวเองยังไม่เหมาะก็ให้ซื้อตั๋วรถไปลงปลายทางหลวงพระบาง เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบที่เป็นเหรียญคนละด้านกับไซยะบุรี หน้าตาหลวงพระบางวันนี้จะเป็นอย่างไรติดตามได้ใน นั่งรถเที่ยวลาว (2) วันเสาร์ที่ 21 ก.พ. 2558 สำหรับวันนี้สะบายดี...
รถบขส. 999 ลาว - หลวงพระบาง ให้บริการวันละ 1 เที่ยว เวลา 08.00 น. ที่สถานีขนส่งจ. เลย ค่าโดยสาร 700 บาท ต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อตั๋ว หากลงไซยะบุลี ค่าโดยสาร 500 บาท ไม่ต้องมีพาสปอร์ต แต่ต้องไปทำบัตรผ่านแดนที่ที่ว่าการอำเภอท่าลี่ โดยต้องเตรียมบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป และค่าธรรมเนียม 40 บ. รถขากลับเป็นบริการของ บ.นาหลวง จก. (สปป.ลาว) มีเที่ยวเดียว เวลา 08.00 น. ที่ท่ารถไซยะบุลีหรือหลวงพระบางแล้วแต่ที่ลง ค่าโดยสารเท่ากัน โทร. 042-811-706 ดูตัวอย่างโปรแกรมการเดินทางและแผนที่เที่ยวเชื่อมโยง เลย-ไซยะบุลี-หลวงพระบาง ได้ที่ www.เที่ยวอีสาน.com


