ปูเลา อูบิน เกาะที่มีแต่ต้นไม้กับจักรยาน
สิงคโปร์ประกอบด้วย 63 เกาะน้อยใหญ่แต่ไม่มีเกาะไหนเหมือน “ปูเลา อูบิน” (Pulau Ubin)
สิงคโปร์ประกอบด้วย 63 เกาะน้อยใหญ่แต่ไม่มีเกาะไหนเหมือน “ปูเลา อูบิน” (Pulau Ubin)เกาะเล็กๆ ที่ไม่โด่งดัง ไม่มีห้างหรือสวนสนุก ไม่มีความสุขจากเทคโนโลยี มีแต่ ต้นไม้กับจักรยาน
Get
ปูเลา อูบิน เป็นเกาะเล็กๆขนาด 10.2 ตร.กม. รูปทรงคล้ายบูเมอแรง อยู่บริเวณช่องแคบยะโฮร์ (Johor) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสิงคโปร์ ไม่มีเอ็มอาร์ที ไม่มีกระเช้าลอยฟ้า ไม่มีสะพานเชื่อมเกาะ มีเพียงวิธีเดียวคือนั่งเรือบัมพ์โบต (Bumboat) จากท่าเรือชางงี (Changi Point Ferry Terminal) ข้ามทะเลไปเพียง 15 นาทีจากเกาะใหญ่เสมือนได้ตัดขาดโลกความเจริญสู่ท้องถิ่น
ที่ยังดิบแต่ไม่เถื่อน มันคือแผ่นดินโดดเดี่ยวกลางทะเลที่ยังมีวิถีชีวิตคนสิงคโปร์ยุค 1960 อยู่จริงแม้จะเหลือน้อยเต็มที
Set
ปูเลา แปลว่า เกาะ อูบิน แปลว่า หินแกรนิต มาจากเกาะแห่งนี้เคยเป็นที่ทำเหมืองหินแกรนิตแต่ปัจจุบันล้มเลิกไปแล้ว ธรรมชาติจึงได้ทวงคืนพื้นที่ด้วยการแพร่พันธุ์และเรียกสรรพสัตว์กลับบ้าน ยกเว้นคน ทุกวันนี้มีคนท้องถิ่นในหมู่บ้านกัมปง (Kampung) ซึ่งเป็นหมู่บ้านมาเลย์แห่งสุดท้ายในสิงคโปร์อาศัยอยู่ไม่ถึง 100 คน ซึ่งอาจจะน้อยกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนในแต่ละวัน
เรือบัมพ์โบตจะบรรทุกผู้โดยสาร 12 คนมาเทียบท่าที่ปูเลา อูบิน จากนั้นนักท่องเที่ยวต้องเลือกว่าจะไปแบบไหน เหมารถตู้เที่ยวรอบเกาะ เดิน หรือเช่าจักรยาน ซึ่งแน่นอนว่าจักรยานได้รับความนิยมมากที่สุด จะมีร้านให้เช่าจักรยานเสือภูเขาอยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือ ทุกคันมีสภาพผ่านการใช้งานมาอย่างหนักแต่คุณภาพเบรกดีเยี่ยม ทำให้พอเดาได้ลางๆ ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ในช่วงแรกเป็นถนนลาดยางอย่างดี ล้อเบียดถนนไหลลื่นแทบไม่ต้องออกแรง แล่นฉิวผ่านหมู่บ้านกัมปงที่เหลืออยู่เป็นหย่อมเล็กๆ หากสังเกตจะเห็นบ้านไม้หลังใหญ่นั่นคือบ้านผู้นำชุมชนที่ประตูไม่เคยปิด
ระยะทางประมาณ 1 กม.แรก ถนนราบเรียบอย่างกับ
ผิวกระดาษไม่สะท้านแข้งขาแม้แต่น้อย แต่ ปูเลา อูบิน ไม่ได้รักเราขนาดนั้น เพราะเมื่อถึงทางแยกเลี้ยวขวาไปทางพื้นที่ชุ่มน้ำ เชค จาวา (Chek Jawa Wetlands) ถึงได้รู้ว่า ปูเลา อูบิน ไม่ปรานีเราเลย
Go!
ไม่ทราบว่าหินกรวดคล้ายหินก่อสร้างที่โรยอยู่บนทางเดินนั้นช่วยให้เดินทางสะดวกขึ้นอย่างไร หรือโรยไว้ลดฝุ่น หรืออาจกันล้อติดหล่ม แต่ที่แน่ๆ มันช่างทำให้การขี่จักรยานยากขึ้นทุกกระเบียด ล้อรถบดหินก้อนต่อก้อนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง เฟรมจักรยานที่เก่ากรังเริ่มมีเสียงอิดออดบอกสมรรถภาพที่ไม่แข็งแรง ป้ายบอกทางไปเชค จาวา ก็ไม่บอกระยะทาง จึงไม่รู้ว่าหนทางอีกไกลเท่าไหร่ เล่นเอาใจของมือใหม่เริ่มเป็นกังวล
สิ่งย้อมใจให้ระหว่างทางลืมหนทางเห็นจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า อย่างต้นที่ต้องลงจากอานไปสำรวจอย่างใกล้ชิด ป้ายติดไว้ว่าชื่อ ต้นธรรมดา (CommonTree) มันน่าจะอยู่มาตั้งแต่ยุคเหมืองแกรนิต ความสูงของมันต้องนอนถ่ายถึงได้ภาพทั้งต้น ความกว้างของมันต้องใช้ 4 คนโอบถึงรอบ ต้นไม้ลักษณะนี้ถ้าอยู่ในประเทศไทยคงมีผ้า 7 สีผูก หรือถูกบวชห่มผ้าเหลืองไปแล้ว แต่ต้นนี้มีเครื่องกันฟ้าผ่าติดไว้ เพราะสิงคโปร์ฟ้าแรงจึงต้องใช้หลักวิศวกรรมและฟิสิกส์ช่วยธรรมชาติบ้าง พอแหงนหน้ามองกิ่งก้านแลพิจารณาสาขามันไม่น่าชื่อต้นธรรมดาเลยเสียจริง
เมื่อกลับขึ้นหลังอาน ทำเป็นมองสองข้างทางเพื่อให้ลืมทางวิบากใต้ฝ่าเท้าไปสักพัก ไม่นานก็ถึงจุดจอดอันเป็นจุดหมาย พื้นที่ชุ่มน้ำเชค จาวา สถานที่แห่งนี้เป็นที่รวบรวมความหลากหลายทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไม้ พันธุ์นก และพันธุ์สัตว์น้ำ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานเดินยกระดับผ่านป่าชายเลนแต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ปิดปรับปรุง และยังไม่ระบุว่าจะเปิดเมื่อไหร่ภายในปี 2558
ทางที่ยังเปิดให้ใช้คือสะพานเดินเหนือทะเลยาว1.1 กม. มันทอดยาวผ่านขอบป่าและตีโค้งตามสันเกาะมีโครงสร้างโปร่งไร้หลังคา บางช่วงพื้นปูนถูกเปลี่ยนเป็นโครงเหล็กให้เห็นทะเลใต้เท้าว่าเป็นอย่างไร มันคือสะพานที่ถูกออกแบบมาให้กลมกลืนกับธรรมชาติและคำนึงถึงการทัศนศึกษาทางชีววิทยา ท้องทะเลที่นี่ถ้าน้ำลดจนเห็นพื้นทรายจะเห็นสัตว์น้ำชัด เช่น ปลาดาว ปลาหมึก และม้าน้ำ แต่ถ้ามาแล้วน้ำขึ้นและขุ่นคลั่กก็ขอให้สุนทรีย์กับสายลมและเสียงนกร้อง บ่อยครั้งจะเห็นนกยักษ์เทกออฟขึ้นจากสนามบินชางงี แต่อย่าคิดว่าเสียงนั้นรำคาญหู ขอให้ฟังแล้วมองรอบตัวเอง 1 รอบ เพื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างเมืองกับธรรมชาติที่กำลังสัมผัส
โปรดใช้เวลาที่เชค จาวา จนกว่าจะพอใจก่อนกลับมาสู่สังเวียนน่องทองที่คราวนี้หนทางยกระดับสู่เลเวล “ชัน” ทางเข้ากับทางออกเป็นคนละทางกัน เมื่อจอดที่เชค จาวา แล้วต้องขับวนเป็นวงกลม ซึ่งเส้นรอบวงครึ่งหลังนี้เป็นเนินเขาเสียส่วนใหญ่
จักรยานเสือภูเขาที่เกียร์ใช้การไม่ได้ไม่ใช่ปัญหาช่วงไหนขึ้นไหวก็ยกบั้นท้ายเล็กน้อยและจัมพ์เท้าปั่นไป แต่ถ้าช่วงไหนน่องยกธงขาวก็แค่ลงจากอานแล้วพาจูง ถือโอกาสเดินชมธรรมชาติแบบเนิบช้า เลาะริมป่าไปจนกว่าทางจะสโลป ทางลงน่าสนุกกว่าแยะ โดยเฉพาะเวลาล้อฟรีไปตามแรงโน้มถ่วงโลก มันเหมือนตัวเองเป็นผีเสื้อบินหาดอกไม้
ก่อนเส้นรอบวงจะไปบรรจบที่ถนนลาดยางตรงทางแยก บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมืองหินแกรนิตคือจุดจอดสุดท้าย บัดนี้น้ำฝนได้เติมเต็มและต้นไม้ก็ขึ้นเต็มแน่นไม่ทิ้งร่องรอยของเหมือง
อีกแล้ว สมกับเป็นธรรมชาติของธรรมชาติที่ไม่เคยปล่อยให้ผืนดินเหี่ยวเฉา
Judge
จักรยานเสือภูเขากลับคืนฝูงที่ร้านเช่า ครานี้มันใช้เวลาเดินทางกับสหายใหม่ 4 ชม. แต่ก่อนหน้านี้มันคงผ่านเส้นทางวิบากวันแล้ววันเล่าถึงได้มีร่องรอยของวันวานมากมาย เรือบัมพ์โบตที่กำลังนั่งกลับก็เช่นกัน มันคงผ่านกระแสคลื่นมาคืนแล้วคืนเล่าถึงได้มีรอยเก่าเหมือนผิวหนังเจ้าของเรือ
เมื่อหันหลังให้ท่าเรือก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมือง...
ถนนหนทางในสิงคโปร์เป็นระเบียบ คนมีวินัย สองข้างทางมักมีต้นไม้ใหญ่กิ่งก้านขยายไกลไม่ต้องกลัวติดสายไฟเพราะเขาเอาลงดินทั้งเกาะแล้ว ถ้าจะหาพื้นที่สีเขียวในสิงคโปร์แค่เสิร์ชคำว่า พาร์ค (Park) ก็มีให้เลือกเกือบโหลไม่ว่าจะเป็นเมานท์ เฟเบอร์ พาร์ค (Mount Faber Park) ฮอร์ต พาร์ค (Hort Park) เคนต์ ริจ พาร์ค (Kent Ridge Park) หรือแมกริตชี่ พาร์ค (MacRitchie Reservoir Park) สวนที่เก่าแก่ที่สุด มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 3-11 กม. และสะพานแขวนเหนือยอดไม้ (TreeTop Walk) ที่สวยที่สุดในสิงคโปร์
สิงคโปร์เข้าสู่ยามเย็นแล้ว ลมทะเลกำลังพัดขึ้นบก ริมอ่าวกำลังอากาศดี(ที่เชค จาวา ก็คงดีเช่นกัน) และมีวิวสวยๆ ให้มองเสมอ (อะไรหรือจะสู้ป่าดิบชื้นได้) ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมอร์ไลออนที่ไม่เคยหยุดพ่นน้ำ สิงคโปร์ฟลายเออร์ที่หมุนอย่างเชื่องช้า มารีน่าเบย์แซนด์สุดหรูหรา หรือคนธรรมดาที่กำลังเดินดิน(เดินดิน?)
สองความคิดขัดแย้งกันแบบนี้ตั้งแต่กลับมาจากปูเลา อูบิน เหมือนกับตอนเดินบนบาทวิถีใต้เงาไม้ใหญ่ก็พลันคิดถึงทางหินกรวดที่เพิ่งเข็ดไปว่า ดีแค่ไหนแล้วที่มันไม่ถูกลาดยาง


