ลาแล้วความเครียด
เมื่อประมาณยี่สิบปีมาแล้วดิฉันติดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งมาก ต้องดูทุกวัน ดูทีไรอารมณ์ดีอย่างน้อยที่สุดก็นั่งอมยิ้ม รายการนั้นคือ “เพชฌฆาตความเครียด”
เมื่อประมาณยี่สิบปีมาแล้วดิฉันติดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งมาก ต้องดูทุกวัน ดูทีไรอารมณ์ดีอย่างน้อยที่สุดก็นั่งอมยิ้ม รายการนั้นคือ “เพชฌฆาตความเครียด” ค่ะ รายการนี้เป็นรายการตลกที่ออกอากาศทางช่อง 9 ในช่วงปี พ.ศ. 2528-2529 โดยทีมงานส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่าจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเขาเรียกตัวเองว่า “กลุ่มซูโม่สำอาง” เช่น ซูโม่ตู้ (จรัสพงษ์ สุรัสวดี) ซูโม่เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) ซูโม่ตุ๋ย (อรุณ ภาวิไล) ซูโม่เอ๋ (เกรียงไกร อมาตยกุล) ซูโม่เป๊ปซี่ (ธีรวัฒน์ ทองจิตติ) ซูโม่อิฐ(อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์) ซูโม่โค้ก (สมชาย เปรมประภาพงศ์) ซูโม่สุ่น (ตรี บุญทิวากร) ซูโม่กิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) ซูโม่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) ซูโม่โญ (ภิญโญ รู้ธรรม) และคุณดู๋ (สัญญา คุณากร) (ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
ผู้ที่ตั้งชื่อรายการเพชฌฆาตความเครียดนี้คือ ซูโม่ตู้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มซูโม่สำอางนั่นเอง ในสมัยนั้นที่ยังไม่มีคุณโน้ต-อุดม แต้พานิช และไม่มีรายการคอมเมดี้ (Comedy) ให้ชมมากมายอย่างในปัจจุบัน รายการเพชฌฆาตความเครียดถือเป็นต้นแบบของรายการตลกยุคใหม่ของไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์ เนื้อหาทันสมัย ตลกลึกไม่หยาบคาย กลุ่มซูโม่สามารถทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตสังหารความเครียดได้ผลจริงๆ พูดแล้วยังอดคิดถึงไม่ได้ ท่านใดไม่เคยดูรายการนี้จะลองค้นหาใน Youtube มาดูคลายเครียด เชิญได้เลยค่ะ
ไหนๆ ก็เริ่มต้นปีใหม่แล้ว เรามาบอกลาความเครียดกันเถอะค่ะจะได้มีพลังสดชื่นแจ่มใสพร้อมรับมือเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่จะเดินเข้ามาในชีวิตเราต่อไป อย่าแบกความเครียดข้ามปีเพราะมันไม่ได้ออกดอกออกผลที่มีคุณค่ากับเราเลย เริ่มจากตอนนี้เลย สลัดศีรษะไล่ความเครียดจากสมอง ขยับไหล่ขับไล่ความกังวลเมื่อยล้า สูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยลมหายใจออกยาวๆ ให้ความทุกข์ความผิดหวังหลุดออกจากหัวใจ...เตรียมพร้อมที่จะบอกลาความเครียดทิ้งไปกับปีมะแม แล้วมาเริ่มยุทธการสังหารความเครียดกันนะคะ
หายใจเป็น ลดเครียดได้ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย แค่นั่งนิ่งๆ จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้ หายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกๆ อั้นลมหายใจให้นานที่สุดที่จะทนได้ แต่อย่าอั้นจนจะเป็นลมหน้ามืดก็แล้วกัน เอาแค่พอทนได้แบบสบายๆ จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำๆ สัก 5-6 รอบ จะรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายขึ้น เครียดเมื่อไรก็ฝึกหายใจแบบนี้ ว่างเมื่อไรก็ฝึกหายใจ นึกได้เมื่อไรก็ทำ ทำบ่อยๆ จะช่วยให้ระบบหายใจดีขึ้น สามารถสูดเอาออกซิเจนเข้าร่างกายได้มากขึ้น มีแต่เรื่องดีค่ะ
สร้างทัศนคติ “ฉันทำได้” (Can do attitude) หลายคนมีเรื่องเครียดมากจนไม่น่าเชื่อ ผู้เขียนมีเพื่อนห่างๆ อยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนที่ใครได้พบในตอนแรกจะรู้สึกสงสารและเห็นใจ แต่เมื่อได้คุยกับเธอและฟังเธอปรับทุกข์สักพักก็จะเริ่มตีตัวออกห่าง เพราะความเครียดมันเริ่มแผ่ขยายจากตัวเธอมาเกาะติดเพื่อนคนอื่น แทบจะไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้เลย เพราะเธอมองเห็นทุกเรื่องเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เธอเริ่มจากการบ่นว่ามีปัญหาทะเลาะกับสามีเพราะสามีมีภรรยาน้อย เพื่อนถามว่า “ทำไมสามีมีอีหนูล่ะ?” เธอบอกว่า “สามีบอกว่าฉันอ้วน ไม่สวย ขี้บ่น เลยน่าเบื่อ” เพื่อนแนะนำว่า “เรื่องอะไรยอมแพ้ง่ายๆ ทำสวยด่วน ลดความอ้วน เดี๋ยวฉันพาไปหาหมอเอง” เธอบอกว่า “โอ๊ย! แพง เสียดายตังค์” เพื่อนอีกคนบอกว่า “งั้นฉันมีสูตรลดความอ้วนด้วยตนเอง คุมอาหาร และออกกำลังกายหน่อย เดี๋ยวก็ผอมสวย” เธอทำตาโตร้องว่า “ฉันอดอาหารไม่ได้หรอก ใจสั่นเวลาหิว ออกกำลังกายก็ไม่ไหว เข่าไม่ดี” เพื่อนยังมีข้อเสนอแนะอื่นอีก “ว่ายน้ำสิ ไม่เจ็บเข่า” เธอตอบทันที “ไม่เอาล่ะ ว่ายน้ำแล้วผมเสีย” เพื่อนคนสุดท้ายที่ยังอยู่คุยด้วยบอกว่า “ไม่เสียหรอก ว่ายเสร็จก็หมักผมด้วยครีมนวด” เธอนิ่วหน้าบอกว่า “ฉันไม่ชอบกลิ่นครีมหมักผม มันฉุน” แหม...ปัญหามันมีในทุกก้าวชีวิตของเธอเลย อะไรจะขนาดนั้น!
เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำ เป็นผู้กระทำ หรือเปลี่ยนจากการตั้งรับ เป็นการรุก คนที่คิดว่า
ตัวเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เป็นเหยื่อของสถานการณ์มักจะเครียดง่ายกว่าคนที่เชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ และสามารถลิขิตชีวิตของตนเองได้ ชีวิตของเรา
ทุกคนย่อมเจอทั้งเหตุการณ์ที่คุมได้ เลือกได้ กับที่คุมไม่ได้ เลือกไม่ได้ด้วยกันทุกคน บางอย่างที่คุมไม่ได้ เช่น เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ หรือเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น แต่เหตุการณ์อย่างเช่น การเรียน การทำงาน ชีวิตคู่ แบบนี้เรามีสิทธิที่จะเลือกได้และควบคุมได้มาก จงวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเราแล้วจัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังกล่าว อะไรที่เราเลือกไม่ได้ คุมไม่ได้ก็ต้องปล่อยวาง เลิกเสียเวลาและเสียพลังไปกับการวิตกกังวลในเรื่องนี้ แต่ใช้เวลาในการแก้ปัญหาแก้สถานการณ์ที่เราสามารถควบคุมได้แทน กลยุทธ์นี้จะช่วยลดจำนวนเรื่องที่ต้องเครียดโดยไม่จำเป็นลง
ลดการถูกรบกวนหรือขัดจังหวะขณะทำงาน การทำงานต้องใช้สมาธิจึงจะทำได้ดี แม้ว่าบางคนจะมีความสามารถคิดหลายๆ เรื่อง ทำหลายๆ เรื่องได้ในเวลาเดียวกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องดี ผลวิจัยออกมาระบุว่าคนเราทำงานได้ผลดีที่สุดเมื่อมีสมาธิทำกิจกรรมเพียงอย่างเดียว การที่ทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันจะทำให้สมองและประสาทเหนื่อยล้าเร็ว ถ้าทำอย่างนี้ติดต่อเป็นเวลานานๆ ย่อมทำให้สมรรถนะในการทำงานในระยะยาวเสื่อมลง ทำทีละเรื่อง แต่ทำได้ดีและทำได้เร็ว ดีกว่าทำหลายเรื่องแล้วไม่ค่อยได้ดีและบางทีไม่เสร็จสักเรื่อง อย่าหาเรื่องเพิ่มความเครียดให้ตัวเองค่ะ อย่างไรก็ตามเราคงต้องเผชิญกับสถานการณ์จากทั้งในครอบครัวที่บ้านกับที่ทำงานที่มีคนมาขัดจังหวะเวลาเราทำงานอยู่บ่อยๆ วิธีแก้ คือ ต้องพยายามจัดตารางเวลาทำงานกับเวลาให้คนเข้าพบให้เป็นระบบ เช่น อาจบอกกับลูกๆ ที่บ้านว่าระหว่าง 9-10 โมงเช้าของวันอาทิตย์เป็นเวลาที่พ่อหรือแม่จะทำงาน หากลูกอยากจะมาเล่นด้วย หรืออยากมาคุยด้วยพ่อกับแม่จะคุยกับลูกเวลา 10-12 โมง เป็นต้น กับที่ทำงานก็เช่นกัน เวลา 9-10 โมงเป็นเวลาอ่านรายงานและตอบเมล เวลาให้ลูกน้องหรือแขกเข้าพบเป็นเวลาบ่าย การจัดตารางเวลาเช่นนี้จะช่วยทำให้ท่านสามารถควบคุมตารางเวลาชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ใช่มั่วไปหมดจนงง สับสน และเครียดในที่สุด
รู้จักจัดลำดับความสำคัญ คนบางคนมีความรับผิดชอบมากมายจนไม่รู้จะทำอะไรก่อน แค่คิดว่าจะทำอะไรดีก็เครียดแล้ว ในเมื่อไม่สามารถทำทุกอย่างได้ก็ต้องรู้จักมีวิธีจัดลำดับความสำคัญ งานแต่ละชิ้นมีความสำคัญต่างกัน และมีเงื่อนไขเวลากำหนดที่ต้องแล้วเสร็จต่างกัน งานบางชิ้นสำคัญก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในบัดเดี๋ยวนั้น งานบางชิ้นสำคัญไม่มาก แต่ค้างอยู่ในแฟ้มนานแล้ว ใช้เวลาทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ถ้ารู้จักวิเคราะห์ระดับความสำคัญของงาน กำหนดเวลาที่ต้องแล้วเสร็จ และระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานแต่ละชิ้นให้เสร็จ ท่านก็จะมองเห็นช่องทางในการจัดตารางการทำงานทั้งหมดได้เป็นระบบขึ้น สามารถเรียงลำดับว่าควรทำงานชิ้นไหนก่อนหลังอย่างไร ผู้เขียนเองก็มีงานที่ต้องทำมากเช่นกัน จึงใช้วิธีลงตารางเวลาที่ต้องทำงานให้แล้วเสร็จในปฏิทิน พอมองเห็นตารางเวลาที่ต้องส่งงานทั้งหมดแล้วจึงค่อยมาวางแผนจัดเวลาที่จะอุทิศให้งานแต่ละชิ้น วิธีนี้ทำให้บริหารงานและเวลาได้ดีขึ้น
กินอาหารให้ถูกหลัก ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสูตรอาหารที่เหมาะกับสภาพร่างกายของตน มีวินัยในการออกกำลังและการพักผ่อนนอนหลับเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ไม่ค่อยอยากพูดมากในเรื่องนี้ เป็นเรื่องพูดง่ายแต่ไม่ค่อยมีคนทำได้ บอกได้อย่างเดียวว่า ต้องมีวินัยค่ะ
รู้จักทำใจปล่อยวาง เรื่องใจเป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด แต่ถ้าทำได้ ความสุขสงบจะมาหาอย่างรวดเร็ว ท่านผู้รู้จึงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน เพราะถ้าคิดถึงเรื่องอดีตที่เป็นทุกข์ มันก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เช่น ทุกข์เพราะคิดถึงคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ทุกข์เพราะเสียดายของรักที่หายไป พยายามอย่าจมอยู่กับความทุกข์ เอาใจมาจดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ขณะนี้กำลังขับรถ ก็ตั้งใจขับรถไป คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ชีวิตเขาก็จบไปแล้ว แต่ทำไมเราจึงทุกข์ยืดยาวไม่จบเสียที สำหรับเรื่องในอนาคตก็เช่นกัน ให้มีวิสัยทัศน์คิดถึงอนาคตแต่พอเหมาะ แต่ไม่ใช่กังวลเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงจนหมดความสุข ดึงใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันซึ่งอีกในหนึ่งวินาทีข้างหน้าก็จะกลายเป็นอดีตไปอีกเช่นกัน ฝึกสติของเราให้มีความรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน ทำบ่อยๆ ให้เป็นนิสัย แล้ววันหนึ่งจะเริ่มรู้สึกเองว่าที่เราเคยโกรธใครนานๆ เคยเสียใจนานๆ เคยเครียดนานๆ มันจะเริ่มลดลง เราจะปล่อยวางอารมณ์ลบต่างๆ เหล่านี้ได้เร็วขึ้น
ของไม่ดีอย่าเก็บเอาไว้กับตัวเลยค่ะ ทิ้งมันไปกับปีเก่าเสียบ้าง ลาแล้วความเครียด...


