posttoday

ลายแทง แห่งการเตรียมตัวตาย (ตอน1)

09 ธันวาคม 2557

“ความตายจะเป็นดังระฆังแห่งสติ

“ความตายจะเป็นดังระฆังแห่งสติ

ที่เตือนให้เรากลับมาดำรงอยู่กับความจริง

และอยู่กับสิ่งที่เป็นแก่นสาร

ทิ้งสิ่งที่เป็นเปลือกหรือหัวโขนของชีวิตอย่างรู้เท่าทัน”

อธุวํ ชีวิตํ, ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน

ธุวํ มรณํ, ความตายเป็นของยั่งยืน

อวสฺสํ มยา มริตพฺพํ อันเราจะพึงตายเป็นแท้

มรณปริโยสานํ เม ชีวิตํ ชีวิตของเรา มีความตาย เป็นที่สุด

ชีวิตํ เม อนิยตํ ชีวิตของเรา เป็นของไม่เที่ยง

มรณํ เม นิยตํ ความตายของเรา เป็นของเที่ยง

วต. ควรที่จะสังเวช

อรรถาธิบายลายแทง

เราเตรียมตัวทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอตั้งแต่เด็กจนโต เตรียมอาบน้ำ เตรียมกินข้าว เตรียมเข้านอน เตรียมไปโรงเรียน เตรียมตัวสอบ เตรียมตัวไปทำงาน เตรียมตัวแต่งงาน เตรียมตัวซื้อบ้าน ซื้อรถ เตรียมไปเที่ยว เตรียมไปต่างประเทศ เตรียมไปพบลูกค้า เตรียมไปดูคอนเสิร์ต ฯลฯ เราเตรียมตัวทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แล้วเรากลับมองข้ามไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเตรียมตัวตาย

เราเลี่ยงที่จะพูดถึงความตาย และเรากลัวตาย

เราไม่เตรียมพบกับสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เรารู้ล่วงหน้าตั้งนานแสนนานว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในช่วงชีวิตของเรา แต่เรากลับพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเตรียมรับสิ่งนี้ เราถือเสียว่า การพูดถึง เขียนถึงความตายเป็นเรื่องไม่สุภาพ เป็นเรื่องอัปมงคล

เพราะเหตุที่เราไม่เตรียมรับมือกับความตาย วันหนึ่งเมื่อความตายมาพรากคนอันเป็นที่รัก หรือกำลังมาพรากแม้กระทั่งตัวเราเอง เราจึงได้แต่มานั่งเสียใจ

เสียใจว่า ไม่ได้ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับคนที่คู่ควร

เสียใจว่า มัวแต่ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

เสียใจว่า ไม่ได้ดูแลคนอันเป็นที่รัก

เสียใจว่า ไม่ได้ทำบุญเอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น

ในคอร์สภาวนาที่ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันทุกครั้ง (เดือนละ 2 ครั้ง ต้นเดือนชาวไทย กลางเดือนชาวต่างชาติ) กิจกรรมหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ก็คือ การฝึกเจริญมรณานุสติ หรือ “การระลึกถึงความตายอย่างมีสติ”

มรณานุสติ อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มรณัสสติ” ก็ได้ แปลว่า “การระลึกถึงความตาย” เหมือนกัน

ทำไมต้องระลึกถึงความตาย

เพราะความตายเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา และความตายเป็นความจริงสุดท้ายที่ทุกชีวิตต้องเจออย่างไม่มีทางปฏิเสธ มีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสารประโยชน์ ซึ่งต่างออกไปจากการเผชิญหน้ากับความตายด้วยความกลัว ซึ่งเป็นความเคยชินของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ นั่นก็คือ การเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ

การเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ จะเปลี่ยนโฉมหน้าของความตายไปอีกบทบาทหนึ่ง นั่นก็คือ ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ความตายไม่ใช่ฉากสุดท้ายของชีวิตฉากหนึ่งเท่านั้น หากแต่ความตายจะกลายเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต และจากความตายซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดจบ แต่หากเราเผชิญหน้ากับความตายด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ความตายอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงามของการตื่นรู้สู่สัจธรรมอันสมบูรณ์ของชีวิต

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า หากเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ อย่างถูกต้อง ความตายอาจกลายเป็นความตื่น

ในวัฒนธรรมของชาวพุทธผู้เจริญมรณัสสติอยู่เสมอนั้น บางคนมีความก้าวหน้าในมรณัสสติภาวนาถึงขนาดสามารถกำหนดวันตายของตัวเองได้ และตายจากไปอย่างสงบ อย่างสง่างาม เหมือนดังพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงกำหนดวันปรินิพพานล่วงหน้าถึงสามเดือนและทรงจากโลกนี้ไปอย่างสงบ สง่างาม หรือเหมือนพระวิปัสสนาจารย์บางรูปที่เตรียมตัวตายและตายจากไปอย่างผู้ที่ตื่นอยู่ เป็นผู้ที่ถือเอาประโยชน์จากชีวิตได้อย่างถึงที่สุดแม้นาทีสุดท้ายของชีวิตก็ยังได้กำไรในทางปัญญาและจิตวิญญาณ

การระลึกถึงความตาย ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำเมื่อใครคนใดคนหนึ่งกำลังใกล้ตาย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การระลึกถึงความตาย เป็นสิ่งที่เราควรทำทุกวัน ยิ่งทำบ่อยๆ ยิ่งเป็นผลดี วันหนึ่งจะรำลึกถึงความตายกี่ครั้งก็ได้ ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เรารำลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกเสียด้วยซ้ำ

ในความหมายอย่างสามัญ การระลึกถึงความตาย จะทำให้ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไม่มัวเมา ไม่ตกอยู่ในความหลับใหลท่ามกลางยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง กามารมณ์ และความพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติประดามี

เมื่อระลึกว่า ตนจะต้องตายในวันใดวันหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดความไม่ประมาท หันกลับมาดำรงชีวิตอย่างมีสติ นอกจากจะกลับมาดำรงชีวิตอย่างมีสติแล้ว คนที่มักมากชอบสะสมสมบัติพัสถานกองเป็นภูเขาเลากา ก็จะได้ตื่นขึ้นมาฉุกคิดว่า “เมื่อตายไป ทรัพย์สักนิดก็หาติดตามไปได้ไม่” คนที่คิดได้อย่างนี้ ก็จะปล่อยลงปลงได้ สะสมแต่เฉพาะสิ่งที่เป็นแก่นสารต่อการดำรงชีวิตจริงๆ เท่านั้น เลือกทำเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตจริงๆ เท่านั้น ไม่เสียเวลาอันแสนจำกัดไปกับเรื่องไร้สาระทั้งปวง

คนส่วนใหญ่ไม่อยากระลึกถึงความตาย เพราะถือกันว่า ความตายเป็นเรื่องอัปมงคล ไม่เพียงแต่ไม่อยากระลึกถึง หากแต่ยังไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำไป ใครพูดเรื่องความตายขึ้นมาก็มักจะถูกมองด้วยหางตาว่า ไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้อะไรควรไม่ควร ผลของการพยายามหลบเลี่ยงความตายดังกล่าวมานี้ จึงเมื่อวันหนึ่งตัวเอง หรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญความตายขึ้นมาจริงๆ จึงไม่รู้จะรับมือกับความตายได้อย่างไร พอมีใครตายขึ้นมา จึงตกอยู่ในความเสียใจ โศกเศร้า วางตน วางใจ ไม่ถูก อ่อนระโทยโหยไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ครั้นไปงานศพก็ยังไม่ได้ปัญญา หากแต่ได้มาแค่การทำพิธีศพให้จบไปวันๆ มองไม่เห็นว่า ศพสอนธรรมะอะไรในขณะนั้นบ้าง

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่