posttoday

ชีวิตลิขิตเอง

20 พฤศจิกายน 2557

หนังเล็กๆ อวลไปด้วยความอบอุ่น อิ่มอกอิ่มใจ แล้วก็อิ่มท้อง (มโนตามภาพอาหารเอาเองนะ 555) และอร่อยสุดๆ นั่งดูหนังเรื่องนี้ เหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ในสองร้านอาหาร ฝั่งหนึ่งอินเดีย อีกฝั่งฝรั่งเศส เลือกไม่ถูกว่าจะไปฝั่งไหน แต่ในเมื่อชีวิตเป็นของเรา เราก็มีสิทธิลิขิตได้เอง ว่าจะอินเดีย หรือฝรั่งเศส ใช่มั้ย?

หนังเล็กๆ อวลไปด้วยความอบอุ่น อิ่มอกอิ่มใจ แล้วก็อิ่มท้อง (มโนตามภาพอาหารเอาเองนะ 555) และอร่อยสุดๆ นั่งดูหนังเรื่องนี้ เหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ในสองร้านอาหาร ฝั่งหนึ่งอินเดีย อีกฝั่งฝรั่งเศส เลือกไม่ถูกว่าจะไปฝั่งไหน แต่ในเมื่อชีวิตเป็นของเรา เราก็มีสิทธิลิขิตได้เอง ว่าจะอินเดีย หรือฝรั่งเศส ใช่มั้ย?

เส้นเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้ก็แทบจะเป็นไปตามสูตรหนังฟีลกู้ด สวยๆ เก๋ๆ ไม่ได้ทับซ้อนและยอกย้อนอะไรมากมาย สองร้านอาหาร สองวัฒนธรรม เปิดประจันหน้ากัน ร้านฝรั่งเศสดูหรู เก่าแก่ เปิดมานาน การันตีความอร่อยด้วยมิชลินสตาร์ ร้านอินเดียมาใหม่ เป็นของแปลก ฉูดฉาด เน้นคำว่าบ้านๆ

ชื่อหนัง The Hundred-Foot Journey ดูมีความหมายและนัยที่ลึกซึ้ง แปลตรงตัวก็คงไม่มีอะไรมาก ทว่าพอเปรียบเปรยกับชีวิต ตัวละคร 100 ฟุต จากฟากถนนที่พวกเขาออก ก้าวเดิน มันคือการผจญภัย การแสวงหา การเรียนรู้ การเข้าถึง และเข้าใจของความต่างระหว่างวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกันอยู่

มองให้เป็นหนังบันเทิง ต้องเรียกได้เต็มปากว่าใช่ที่สุด ความตลกแกมความน่าหมั่นไส้แทรกในบทสนทนา ความเป็นอินเดียฉาบไว้ในคอสตูมและดนตรีประกอบ ความเป็นฝรั่งเศสเจือไว้ในความหรูเนี้ยบ คู่ขนานกันไปอย่างลดละ (เหมือนอาการเขม่นกันของคนสองวัฒนธรรม)

ขณะเดียวกัน ถ้ามองเป็นหนังสร้าง แรงบันดาลใจ นี่คือเนื้อแท้ของการสร้างแรงบันดาลใจ ยิ่งเฉพาะสำหรับหนุ่มสาวที่มีฝัน อยากเป็นเชฟ ต้องพุ่งและมุ่งไป อย่าได้นิ่งเฉย มีไฟต้องวิ่งเข้าใส่เมื่อได้โอกาส อย่ารีรอ โอกาสไม่มีมาตลอด มาแล้วก็ต้องรีบคว้า

สองตัวละคร สองวัย "ฮัสซาน" กับ "มาดามมัลลอรี" กลายเป็นตัวเดินเรื่อง หนังสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน ความเกรี้ยวกราด ความอ่อนไหว เหนืออื่นใด สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน คือความใส่ใจในความอร่อย นั่นเพราะอาหารไม่ใช่แค่อะไรก็ได้ที่อยู่ในจาน แต่มันคือศาสตร์และศิลปะ มากกว่านั้นมันคือความทรงจำ ที่ทำให้ทั้งคู่หันกลับมามองตัวเองและทบทวนสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ

แน่นอน ทั้งฮัสซาน และมาดามมัลลอรี ต่างก็ไม่เคยละทิ้งความฝันของตัวเอง เด็กหนุ่มฝันอยากเป็นเชฟ เพราะผูกพันกับอาหารมาตั้งแต่เด็ก หลังร้านอาหารที่มุมไบล่มสลายพร้อมกับการจากไปของแม่ พ่อก็พาเขาย้ายมาลอนดอน ก่อนจะยกครัวมาอยู่ทางตอนใต้ฝรั่งเศส ฟากมาดามก็ฝันอยากได้มิชลินสตาร์ดวงที่สองมาประดับบารมี เธอจึงพยายามคงความเนี้ยบ ความหรู ความอร่อย ไว้ในร้านที่เธอปลุกปั้นขึ้นมา

เมื่อทั้งคู่มีความฝัน พวกเขาจึงมุ่งที่จะสานฝันให้เป็นจริง ตามที่ตัวเองลิขิตไว้ แล้วทั้งคู่ก็ทำได้สำเร็จ ท่ามกลางคำถามที่แล่นอยู่ในหัวว่าสุดท้ายอะไรคือสิ่งที่พวกเขาอยากได้จริงๆ ฮัสซานก้าวไปเป็นเซเลบริตี้ที่ปารีส ชื่อเสียง เงินทอง การยอมรับหลั่งไหลเข้ามา มาดามมัลลอรีสมใจกับมิชลินสตาร์ดวงที่สอง คนแห่แหนมาเป็นลูกค้าของเธอ ร้านเธอขจรไกลไปทั่วและคนแน่นทุกวัน

คีย์ของหนังพาคนดูไปสู่คำตอบที่ค่อนข้างชัด สุดท้ายแล้วชีวิตคนเราก็อาจไม่ได้อยากมีอะไรมากไปกว่าความเรียบง่าย นั่นหมายถึงความสุขที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องกดดัน แค่ทำหน้าที่ที่ทำอยู่ให้เต็มที่ เป็นเชฟก็ทำอาหารให้อร่อย ใส่ใจในทุกๆ จาน เลือกวัตถุดิบคุณภาพ เป็นเจ้าของร้านอาหารก็เสิร์ฟของดีและอร่อย ไม่เอาเปรียบและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า

แม้ไม่ได้เป็นเชฟหรือเจ้าของร้านอาหาร จะอาชีพไหนก็ไม่ต่างกัน เลือกในสิ่งที่ใช่ เลือกในสิ่งที่ชอบ ทำมันเต็มที่ เต็มความสามารถ จริงใจและจริงจัง ก็อาจมีความหมายยิ่งใหญ่ต่อชีวิตมากกว่าความร่ำรวย ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่กลับหาความสุขที่ยั่งยืนไม่เจอสักที Mจะเป็นอะไร ยังไง ทุกอย่างคุณลิขิตเองได้

ว่าด้วยหนังที่เกี่ยวพันกับอาหาร และการทำอาหารนั้น ก็มีหลายเรื่องที่มัดใจ ผู้ชมไม่รู้ลืม Julie&Julia ก็ใช่ Ratatouille หนูสุดเปรื่องเรื่องการครัวก็สนุก Udon น่ารักและซู้ดเส้นอูด้งได้อร่อย Chocolat ชวนหลงใหลในรสขมของชีวิตและช็อกโกแลตสีเข้ม The Lunchbox ตกหลุมรักเครื่องเทศแดนภารต แต่ที่ (เรา) ชอบมากกกก คือ Kamome Diner หนังญี่ปุ่น 3 ป้าไปบุกเบิกทำร้านอาหารที่ฟินแลนด์ อิ่มทั้งท้องและหัวใจกับเรื่องราวมิตรภาพและการผจญภัย (เล็กๆ)

The Hundred-Foot Journey ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีโดย "ริชาร์ด ซี. มอเรส" ซึ่งได้กลายมาเป็นเล่มโปรดของ "โอปราห์ วินฟรีย์" จนเธอปิ๊งไอเดียอยากทำเป็นหนัง เธอมีการพูดคุยกับ "สตีเวน สปีลเบิร์ก" เมื่อทุกอย่างก็ลงตัว เธอกับสปีลเบิร์กจึงผนึกพลังนั่งแท่นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ร่วมกัน

หนังอาจเทบทไปที่มาดามมัลลอรี "เฮเลน มิร์เรน" กับฮัสซาน "มานิช ดายาล" แต่ตัวละครแวดล้อมที่ช่วยสร้างสีสันให้หนังดูสนุกคงหนีไม่พ้น "โอม ปุรี" ในบทพ่อพระเอก และ "ชาร์ลอตต์ เลอ บอง" ในบทนางเอก โดยเฉพาะฝ่ายหลังเธอมียิ้มและนัยน์ตาชวนเคลิ้มทีเดียว ส่วนฝ่ายแรกเป็นนักแสดงอินเดียสูงวัยที่มีความฮาและความเกรียนไม่เบา

The Hundred-Foot Journey

ประเภท ชีวิต/ตลก

ประเทศ สหรัฐ/อินเดีย

ความยาว 122 นาที

ภาษา อังกฤษ/ฝรั่งเศส/ฮินดี

เรตติ้งท (เหมาะสำหรับผู้ชมทั่วไป)

กำกับ ลาสซี ฮอลล์สตรอม

แสดงนำ เฮเลน มิร์เรน โอม ปุรี มานิช ดายาล ชาร์ลอตต์ เลอ บอง

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68