posttoday

‘ฅ’ ทำไมต้อง ‘ขึงขัง’

15 พฤศจิกายน 2557

มันกลับมาอีกแล้ว...ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนกันไหม แต่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า

มันกลับมาอีกแล้ว...

ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนกันไหม แต่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า บรรยากาศแบบพวกเขาพวกเรา มันเริ่มจะคุกรุ่นขึ้นอีกระลอกแล้ว

จะด้วยเหตุผลและบรรยากาศทางการเมือง หรือเป็นเพราะที่ผ่านมาพากันปิดจ๊อบสมานฉันท์แบบลวกๆ ก็ตาม หญ้าที่ถูกหินทับเริ่มขยับกันอีกแล้ว เมื่อคนหงุดหงิดก็ชักจะไม่สนหินที่หล่นลงมาเมื่อเดือน ก.ย.เสียแล้ว

อารมณ์ ความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านนี้ สัมผัสได้จากการแสดงความคิด ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก คสช.จะรับรู้และปรับทิศปรับทางอย่างไรก็เป็นเรื่องคนมีอำนาจจะเลือกตัดสินชะตากรรมตัวเอง แต่ในภาวะแบบนี้ ปัจเจกชน คนเล็กคนน้อยก็ได้รับแรงกระแทกกระทั้นเหมือนกัน

ถ้าแต่ละคนและละกลุ่มต่างเปล่งเสียงโดยคำนึงถึงท่าทีก็คงไม่มีปัญหา แต่คนจำนวนมากและกลุ่มจำนวนมากปล่อยคลื่นความถี่สูง โดยคิดว่าปัญหาของตัวเองใหญ่ที่สุดในโลก ใครไม่ช่วย ไม่ดูแล เป็นคนใจดำ ไอ้พวกที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มซวยแล้วสิครับ เพราะอยู่เฉยๆ ก็จะถูกจัดเป็นพวกโน้นพวกนี้ ถูกแขวนป้าย ถูกตัดสิน ทันทีโดยไม่รู้ตัว ชนิดไม่ช่วยเต็มที่ ไม่เป็นพวกเดียวกัน ก็เป็นคนเลวไปเสียฉิบ นี่เป็นความถี่สูงที่กำลังกระจายแรงกระแทกกระทั้นไปทั่วหน้ากัน

บรรยากาศมันเลยเริ่มมิสู้ดี ยังไงๆ ชอบกล...

เมื่อเราขาดเมตตาธรรมต่อกัน ขาดมิตรจิตมิตรใจต่อกัน หรือเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง เราก็ไม่ฟังเหตุฟังผลกัน ไม่เคารพกัน กลายเป็นผิดจากเรา ก็กลายเป็นเขาไปหมด พอแบ่งพวกเราพวกเขาไปเสียทุกเรื่องโดยไม่มีเหตุไม่มีผล มันเลยท่าจะยุ่งขิงกันไปหมด

น้องนักข่าวผู้คร่ำหวอดกับการเสนอปัญหาคนเล็กคนน้อย ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา รวมทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลิตผลจากความเห็นแก่ได้ บ่นให้ฟังว่า คนจนไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป คนรวยไม่ใช่ว่าจะต้องผิดเสมอไป เธอพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแล้ว เสนอปัญหาเหล่านี้ออกสู่สาธารณะเยอะแยะไปหมด ซึ่งแน่นอนว่า มันก็ไม่ทันต่อสถานการณ์และความเดือดร้อนของผู้คนในทุกพื้นที่ พอมีคนมาว่า ผู้สื่อข่าวไม่สนใจเรื่องปัญหาชาวบ้าน ไม่สนใจคนเล็กคนน้อย เธอเลยเป็นทุกข์เสียมากมาย

นี่ก็เป็นหนึ่งจากผลกระทบจากการโดนคลื่นความถี่สูงข้างต้น

หลายเรื่องขณะนี้ทำให้ผมนึกถึงห้องเรียนในแคมป์ก่อสร้างของครูข้างถนน ไพโรจน์ จันทรวงศ์ แห่งมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

สุดสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสไปเยี่ยมครูไพโรจน์ที่แคมป์คนงานก่อสร้างแถววัดเสมียนนารี บางเขน กทม.

แคมป์นั้นได้ชื่อว่าเป็นแคมป์ก่อสร้างที่ผู้ประกอบการใส่ใจสวัสดิการคนงานมาก เพราะนายจ้างคือบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ (Narai Property) ลงทุนให้ตู้คอนเทนเนอร์และพื้นที่ส่วนหนึ่งมาดัดแปลงเป็นโรงเรียนขนาดย่อม

ภายในอาณาเขตห้องเรียน ซึ่งมีการล้อมรั้วต่อออกมาจากคอนเทนเนอร์ตู้นั้นไว้อย่างดี เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กระบายสีผนังตู้และผนังเหนือวงกบหน้าต่างที่แสดงอาณาเขตห้องเรียนไว้ด้วยรูปเด็กๆ สีสันงดงาม

ด้านหนึ่งใต้รูปเด็กแต่ละคนจะมีอักษรภาษาอังกฤษ A B C D…ไล่กันไป เหนือวงกบมีอักษรไทย ก ข ค...เป็นลำดับไป

น่าสนใจว่า คำขยายความที่เป็นบทอาขยานที่ท่องกันมาแต่เด็กว่า ก เอ๋ย ก ไก่ ข ไข่ในเล้า...นั้น ในส่วนของ “ฅ” ซึ่งมักจะท่องกันว่า “ฅ-ขึงขัง” นั้น ครูมูลนิธิเด็ก เขียนคำอาขยานไว้ว่า “ฅ-คนจนมีมาก เขาลำบากควรเมตตา ช่วยเหลือกรุณา คนจนจะหมดไป”

จำได้ไหมครับ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ คอการเมืองสองข้างพยายามเขียนบทเรียนประวัติศาสตร์ไปตามทัศนะของตัวเองที่ต้องการ

การได้เจอ “ฅ” ฉบับครูข้างถนน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราไม่มัวแต่ปล่อยความถี่สูงใส่กันอย่างเดียว ฟังกันสักนิด ใส่ใจกันสักหน่อย เห็นหัวอกเขาหัวอกเรา อะไรๆ มันน่าจะดีกว่านี้เยอะ

ก็มันจะไม่ดีได้ไง เพราะ “ฅ-ขึงขัง” กับ ฅ-คนจนมีมาก เขาลำบากควรเมตตา ช่วยเหลือกรุณา คนจนจะหมดไปนั้น มันให้โลกทัศน์กันคนละแบบ หนังคนละม้วนเลยทีเดียว

ผมเองเป็นพวกร่วมสมัย เลยโดนแขวนโดนป้ายอยู่มิใช่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเชื่อแบบที่เรียนพักลักจำมาตลอดชีวิตว่า กว้างขวางชนะคับแคบ

โดนด่าเป็นเรื่องปกติของยุค รักษาใจตัวให้เป็นปกติสำคัญที่สุด จะปกติได้ก็ต้องลองขยับออกจากมุมที่ยึดมั่นถือมั่น บางทีเราอาจจะเจอโลกใหม่แบบที่เป็นในบทอาขยานฉบับ “ฅ” นี่ก็ได้

จะเป็นทุกข์ให้ใจหมดแรงไปทำไมกัน คิดให้ถูกมันก็หมดเรื่องแล้ว...

ข่าวล่าสุด

‘ม.สงขลาฯ’ ร่วมกรมการแพทย์ รับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาด้วย CAR-T Cell