ลิมิเต็ดเอดิชั่น ยอดดวงใจนักสะสม
การสะสมสำหรับบางคนไม่ได้เป็นเพียงแค่งานอดิเรก แต่เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและมูลค่าอย่างยากจะวัดได้
การสะสมสำหรับบางคนไม่ได้เป็นเพียงแค่งานอดิเรก แต่เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและมูลค่าอย่างยากจะวัดได้ ในบรรดาของสะสมทั้งมวล รุ่นที่เรียกว่า “ลิมิเต็ดเอดิชั่น” นั้นคือ ยอดดวงใจที่เหล่านักสะสมต่างปรารถนาและอยากมีไว้ในครอบครอง สิ่งของซึ่งมี “จำนวนจำกัด” ตามมุมมองความเห็นของคอลเลกเตอร์แต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป
ยีนส์เจ็บๆ มีเงินก็ (อาจ) ซื้อไม่ได้
ยีนส์อยู่คู่กับโลกของแฟชั่นมายาวนานหลายสมัย ในยุคหนึ่งเราจะเห็นรุ่นคุณพ่อฮิตฮอตใส่ยีนส์ตระกูลลีวายส์ 501 ต่อมาในช่วง 10 ปีหลัง ความนิยมก็หันไปสู่ยีนส์ตระกูลสายผ้าญี่ปุ่นซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีต ราคาจึงไม่ถูก ยิ่งเป็นรุ่น “ลิมิเต็ดเอดิชั่น” ของบางแบรนด์นั้นเงินอย่างเดียวก็อาจจะหามาใส่ไม่ได้
ในบรรดานักสะสมยีนส์ญี่ปุ่นตัวพ่อของไทยมี แบงค์-บุญฤทธิ์ อันประเสริฐพร หนุ่มวิศวกรมาดเนี้ยบรวมอยู่ด้วย เขาหลงใหลเสน่ห์ของยีนส์มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เริ่มจากแบรนด์สวีเดน Cheap Monday ก่อนขยับเป็น Nudie Jeans ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มศึกษากางเกงยีนส์ผ้าดิบผ้าญี่ปุ่นแบรนด์ต่างๆ ไปด้วย
“เริ่มมาจากการที่ผมได้เห็นพัฒนาการการเปลี่ยนแปลง (เฟด) ของกางเกงเรา จากวันแรกสีก็จะเข้มแล้วผ่านไปหกเดือนมันเริ่มซีดลง เริ่มมีลวดลายตามข้อพับ ตามขา ผ่านไปหลายๆ เดือน หลังได้ซักไปหลายๆ รอบ เรารู้สึกว่ากางเกงที่ใส่มันมีพัฒนาการดีนะ สวยดี แล้วเราเป็นคนทำให้มันสวยเอง กางเกงที่เราใส่มันมีสตอรี่ เราเห็นแล้วรักเรื่องราวของมัน ยิ่งใส่เรายิ่งถูกใจ ก็เมื่อมีหนึ่งก็ต้องมีสอง สาม สี่ จนสุดท้ายบ้าหนักเข้าผมก็เริ่มซื้อพวกยีนส์ลิมิเต็ด ซื้อตามกำลังทรัพย์ก่อน โดยจะเน้นเรื่องราวของกางเกงที่มีสตอรี่ เข้าไปศึกษาหาข้อมูลจากเว็บของต่างประเทศ นั่งแปลเอง นั่งรีเสิร์ชเอง พอมีการเปิดรับพรีออเดอร์ก็ลองผิดลองถูกตอนนั้นอยู่นาน”
แบงค์เริ่มจริงจังด้วยการศึกษาลงลึกรายละเอียดของกางเกงตั้งแต่เนื้อผ้า การผลิต ซื้อมาถูกผิดบ้าง แต่ก็รักที่จะเก็บสะสม จนถึงขั้นเข้าไปประมูลตามเว็บต่างๆ เพื่อได้มาซึ่งกางเกงยีนส์รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ไม่ก็ไปตามหายังต่างแดน สะสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ซื้อมาขายไปผ่านมา 7 ปี กางเกงผ้าญี่ปุ่นพรีเมียมของเขาก็มีมากมายกว่า 100 ตัว ไล่ตั้งแต่ Pure Blue Japan, The Flat Head, SAMURAI, Momotaro ฯลฯ เมื่อถามถึง 5 กางเกงยีนส์ลิมิเต็ดที่นักสะสมอย่างเขาชอบที่สุด แบงค์บอกว่าเลือกยากพอสมควร ก่อนจะขอหยิบกางเกงยีนส์ผ้าญี่ปุ่นที่เขาเองประทับใจด้วยเรื่องราวอันโดนใจเป็นหลัก
เริ่มกันตั้งแต่อันดับที่ 5 อย่าง PRPS รุ่น Rambler Dark Burner ยีนส์แบรนด์ฝั่งอเมริกาแต่ใช้วิธีกระบวนการผลิตทั้งหมดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เลือกที่จะใช้เครื่องทอแบบโบราณตั้งแต่ปี 1960 พิเศษคือ การมีกระดุมเพื่อปรับขนาดเอว และประดับด้วยหมุด รุ่นนี้เป็นยีนส์สไตล์ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากในฝั่งยุโรป อันดับที่ 4 เป็นอีกแบรนด์ยีนส์ที่โด่งดังมากๆ ในเวลานี้อย่าง Momotaro X Take 5 ซึ่งออกในวาระฉลองครบรอบ 10 ปีของร้านขายยีนส์ญี่ปุ่นชื่อดัง ความพิเศษของตัวนี้คือ ใช้ผ้า 15.7 ออนซ์ของเฉพาะ Momotaro โดยตัดเป็นทรงยอดนิยม 0701 เย็บลายลูกท้อ ตัวนี้มีเพียง 100 ตัวทั่วโลกเท่านั้น
ส่วน Kapital รุ่น Line Kountry เป็นกางเกงยีนส์ผ้าฟอกญี่ปุ่นที่เป็นเสมือนงานศิลปะ หลังจากอิ่มตัวกับผ้าดิบเขาจึงหันมาลองเก็บผ้าฟอกดู รุ่นนี้เป็นสไตล์วินเทจคันทรี่อันเป็นเอกลักษณ์ เย็บด้วยเทคนิควิธีของญี่ปุ่น แต่ละปีออกสู่ท้องตลอดน้อย เพราะคนที่เย็บด้วยวิธีการนี้มีเพียงช่าง 2 คน เจ้าตัวจึงขอเลือกมาเป็นอันดับที่ 3 ต่อมาเป็นอันดับที่ 2 Indigoskin รุ่น S-Series ลิมิเต็ด ที่ตัวเขาเลือกมาเพราะเป็นกางเกงยีนส์แบรนด์ไทยที่มีเรื่องราวของการสร้างชื่อเสียงและสไตล์น่าสนใจ กางเกงตัวนี้ตัดเย็บที่ญี่ปุ่นและใช้ผ้าทอแบบเฉพาะของทาง Indigoskin สวมใส่สบาย ใส่รายละเอียดความเป็นไทยเข้าไปผสม เลือกใช้ด้าย 3 สี ทอง เงิน นาก มาเย็บ และโลโก้เป็นลวดลายกนก ทั้งยังใช้ผ้าซับในเป็นผ้าย้อมคราม เป็นกางเกงยีนส์ญี่ปุ่นสายเลือดไทยที่โด่งดังไกล
มาถึงตัวเจ็บที่สุดนั่นก็คือ SAMUARAI รุ่น Shogun ซึ่งวางจำหน่ายฉลองครบรอบ 10 ปีของแบรนด์ ตัวนี้ใช้ผ้ายีนส์ย้อมด้วยสีครามธรรมชาติ วิธีนี้ไม่มีให้เห็นแล้วเพราะต้องย้อมด้วยมือถึง 30 รอบ ทำให้สียีนส์ที่ได้แปลกตา เย็บด้วยด้ายและใช้กระดุมแบบพิเศษทำขึ้นมาเฉพาะรุ่นนี้ ป้ายหนังลงสีทอง รุ่นนี้ผลิตมาเพียง 400 ตัวทั่วโลก
สำหรับแบงค์แล้วยีนส์ตัวสุดท้ายถือว่าเป็นที่สุดในสายกางเกงยีนส์ผ้าญี่ปุ่น เขาหวังจะหาตัวที่เจ็บกว่ายีนส์ที่มี ทั้งยังฝากถึงคนที่คิดจะเล่นยีนส์ญี่ปุ่นว่า ไม่จำเป็นต้องมียีนส์มากมาย ขอเพียงแต่มียีนส์ที่ชอบ และรักที่จะใส่มันอย่างมีความสุขในทุกๆ วันก็เพียงพอแล้ว
กระเป๋าแบรนด์เนมในตำนาน
นักธุรกิจหญิงวงการความงาม อิมเมจินี่ และเดซี่ ดิว่าคลินิก กัลยรัตน์ อัครเดชเดชาชัย บอกว่า โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าพูดถึงกระเป๋าหายาก น่าสะสมในแบบลิมิเต็ด คือ ยี่ห้อแอร์เมส (Hermes) ทั้งรุ่นเบอร์กิ้น (Birkin) และเคลลี่ (Kelly) ด้วยความคลาสสิกของรูปทรงกระเป๋า สี ที่รุ่นแรกออกแบบมาอย่างไร วันนี้ดีไซน์ก็คงแบบนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ใช้ได้ตลอดกาลเป็นมรดกตกทอดใช้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ใช่ของตามสมัยวิ่งตามแฟชั่น และทำให้กระเป๋ายี่ห้อแอร์เมสกลายเป็นกระเป๋าในตำนานที่ผู้หญิงใฝ่ฝันอยากได้มาครอบครอง
กัลยรัตน์ยกตัวอย่างกระเป๋าดีไซน์คลาสสิก ที่มีแบบเดียว ไม่เปลี่ยน ไม่มียุคสมัย คือ แอร์เมส รุ่นเบอร์กิ้น ซึ่งเมื่อราว 7-8 ปีก่อนซื้อมาในราคาเกือบ 2 แสนบาท วันนี้ราคาในเว็บช็อปปิ้งอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ราคูเต็น (Rakuten) ราคาตั้งแต่ใบละ 6 แสนไปจนถึงเฉียด 3 ล้านบาท และเป็นกระเป๋าหายากที่สุดในขณะนี้
“ดิฉันสะสมมาเรื่อยๆ ค่ะ รุ่นหิมาลายา (Himalaya) ราคาแพงที่สุด ราคาตอนซื้อมา 2 ล้านกว่าบาท ราคาเวลานี้ทะลุ 4 ล้านเกือบ 5 ล้านบาทแล้วค่ะ เป็นกระเป๋าหายากที่สุดในโลกใบหนึ่งนะคะ เนื่องจากแอร์เมสผลิตน้อย มีไว้เพื่อตอบแทน จะขายให้กับลูกค้า Loyalty ของทางร้านที่ซื้อยี่ห้อนี้มายาวนาน และสม่ำเสมอเท่านั้น ดิฉันได้มาจากหลายๆ ทางค่ะไปซื้อเองที่ยุโรป เป็นสมาชิกในเว็บ Purse Forum ที่สาวกแอร์เมสทั่วโลกต้องเข้าไปจดจ้องมองหากระเป๋ารุ่นหายากกัน และรวมทั้งเพื่อนๆ หามาให้อีกทางหนึ่งด้วยนะคะ และอีกเหตุผลที่กระเป๋าใบนี้หายาก และเป็นที่ค้นหาจากผู้หญิงทั่วโลก คือ ลวดลายสวย และสีของหิมาลายาใส่เฉดสีและขาวเทา สวยงามเหมือนภูเขาหิมาลายา และรุ่นนี้ทำมาทั้ง 2 รุ่นคือ เบอร์กิ้น และเคลลี่ แต่โดยความชอบส่วนตัวชอบสะสมหิมาลายา เบอร์กิ้น
“อีกใบที่ราคา 7 หลัก คือ กระเป๋ารุ่นเบอร์กิ้นหนังจระเข้สายพันธุ์ Niloticus & Porosus ซึ่งเป็นจระเข้น้ำเค็ม เนื่องจากมีลาย “Scale” ขนาดเล็ก เรียงสวย แล้วแต่ว่าแต่ละท่านชอบสีไหน ราคาสูงทุกสีค่ะ เพราะกระเป๋ารุ่นผลิตน้อย (Rare) คนนิยมมาก มูลค่าของมันก็จะเพิ่มสูงขึ้น ที่สำคัญไม่มีใครสามารถก๊อบปี้ได้เลย ของปลอมมองด้วยตาเปล่าก็รู้ทันทีค่ะ
“ส่วนหนัง Exotic ราคา 7 หลักที่ชอบอีกชนิด คือ หนัง Lizard ใบโปรดที่หายากและน่าสะสม คือ สีและลายที่เรียกว่า ‘Ombre’ ส่วนตัวมีทั้งเบอร์กิ้น และเคลลี่”
“กระเป๋ารุ่นเหล่านี้หายาก มีมูลค่าในตัวเอง จากที่เราเคยซื้อเมื่อหลายปีที่แล้ว ในทุกปีที่ผ่านมาราคาพุ่งเกินกว่า 100% ในระยะเวลาอันสั้น”
แผ่นเสียงลิมิเต็ดฯ ในดวงใจ
อาทิตย์ พรหมประสิทธิ์ หรือ ดีเจซอนนี่ ผู้บริหารแผนกจัดซื้อรายการของค่ายทรูวิชั่นและดีเจแห่งคลื่น แคท เรดิโอ 94.5 ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการคลื่นวิทยุมานานกว่า 20 ปี พอๆ กับเวลาที่เขาเก็บสะสมแผ่นเสียง จนถึงตอนนี้เขามีแผ่นเสียงอยู่ในคอลเลกชั่นนับหมื่นแผ่น
“ผมทำงานดีเจมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปี 3 ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ผมถนัดเพลงสากลเป็นส่วนใหญ่ ผมเริ่มฟังเพลงของศิลปินในยุคต้น 1980 ฟังเท่าไหร่ก็ไม่หมดเพราะมีเพลงฝรั่งหลายยุคให้เลือกฟัง อีกทั้งเป็นยุคที่ไนท์สปอร์ตมีสถานีเพลงสากลทำให้เพลงฝรั่งครองเมือง เช่น วงเอบีซี ซึ่งดังมาก เป็นยุคที่เทคโนโลยีถูกนำเข้ามาใช้ในการสร้างสรรค์งานเพลง ศิลปินในยุคนั้นเกิดเยอะ เป็นแนวเพลงที่แตกต่างจาก เดอะ บีเทิลส์ หรือ เอลวิส เพรสลีย์”
อาทิตย์เริ่มเก็บแผ่นเสียงอย่างจริงจังในยุคปลาย 1990 ที่แผ่นซีดีเริ่มมาตีตลาดทำให้คนหันไปซื้อแผ่นซีดี ร้านแผ่นเสียงเริ่มหดหายไปเรื่อยๆ แผ่นเสียงกลายเป็นของหายากขึ้น จึงต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น แถบยุโรปและอเมริกา ระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวก็หาซื้อเก็บสะสมไว้ทั้งเพื่อใช้ในงานและเก็บสะสมเป็นคอลเลกชั่นส่วนตัวด้วย
หากถามถึงแผ่นที่เป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นซึ่งนักฟังแผ่นเสียงต้องเก็บไว้ในครอบครอง 3 อันดับในมุมมองของนักสะสมแผ่นเสียงเช่นอาทิตย์เขาบอกว่า ชื่นชอบและอยากสนับสนุนศิลปินแนวอินดี้มากกว่าศิลปินยุคเก่าๆ ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะผลงานของศิลปินใหม่ๆ ก็น่าสะสมไม่แพ้ศิลปินชื่อก้องโลก อีกทั้งยังเป็นการให้กำลังใจศิลปินรุ่นใหม่ๆ ซึ่งคาดว่าศิลปินเหล่านี้มีแววที่จะโด่งดังในอนาคตอันใกล้นี้ โดยใช้รสนิยมด้านการฟังเพลงส่วนตัวเป็นตัวตัดสิน
ศิลปินในดวงใจอันดับหนึ่งของอาทิตย์คือ ศิลปินหญิงชื่อ ลอร์ด เป็นผลงานแผ่นเสียงแผ่นแรกของคนนี้ ซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้แผ่นเสียงแรกของเธอกลายเป็นแผ่นหายาก และเป็นที่ต้องการของนักสะสม
“ลอร์ด เป็นศิลปินชาวนิวซีแลนด์ ทำเพลงแนวป๊อปที่ดังมากๆ ในหมู่นักฟังเพลง เขาได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดเมื่อปีที่แล้ว ผมมีทั้งซิงเกิ้ลที่หนึ่งและซิงเกิ้ลที่สองคือ Tennis Court EP ผมมีแผ่นเสียงแรกของเขาซึ่งผลิตในออสเตรเลียก่อนจะไปดังที่เกาะอังกฤษและอเมริกา เพลงของเขาขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง คนเลยหาแผ่นแรกๆ ที่เขาออก ซึ่งออกมาเมื่อปี 2013 นี่เอง เขาทำตอนยังไม่เข้าวงการ ผมเก็บแผ่นเสียงนี้ไม่ถึง 3 ปี แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น
“อับดับ 2 ไมเคิล ไควานุกา ศิลปินผิวดำหน้าใหม่ ซึ่งโด่งดังจากการเล่นกีตาร์โฟล์ก เขาไม่ได้ฮิตในหมู่คนผิวดำ เพราะส่วนใหญ่นิยมแนวเพลงดิสโก้กับฮิปฮอป จึงทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้นมา ประกอบกับเสียงร้องที่นุ่มนวล แผ่นเสียงที่อาทิตย์หลงรักอันดับ 2 ออกมาเมื่อปี 2011 ก่อนที่จะมีอัลบั้มเต็มในปี 2012 เขาซื้อมาในราคาเพียง 7 ปอนด์ ตอนนี้ราคากระโดดขึ้นเป็นร้อยปอนด์ หรือเกือบหมื่นบาท นับเป็นอีกหนึ่งเป็นแผ่นที่นักสะสมแสวงหา
“อันดับ 3 เป็นงานของ มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ ที่โด่งดังมาจากดนตรีโฟล์ก วงนี้ดังมากในอเมริกาและอังกฤษ อาทิตย์มีแผ่นเสียงทั้งซิงเกิ้ลแรกและซิงเกิ้ลที่สองที่ตัดออกมา ปัจจุบันราคา 200 ปอนด์ พวกเขาทำเพลงเป็นซิงเกิ้ลก็นำออกมาวางขาย ซึ่งเป็นงานที่มีความไพเราะมากกว่ารวมกันเป็นอัลบั้ม 10 เพลง ซิงเกิ้ลพวกนี้กลายเป็นของมีค่า เป็นแผ่นเสียงที่คนอยากได้ แต่ผมจะมีอย่างละแผ่นและดูแลอย่างดี ซื้อมาไม่เยอะเพราะไม่ได้ซื้อมาเก็งกำไร ซื้อมาเพื่อใช้งานจริงๆ”
“นาฬิกา” ... องค์ประกอบร่างกายที่ทรงค่า
ได้ชื่อว่าเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารนาฬิกา IAMWATCH และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนาฬิกาจนได้รับเกียรติให้เป็น Gaysorn Timepiece Ambassador หรือที่ปรึกษาด้านเครื่องบอกเวลาของศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า จึงเชื่อได้เลยว่า ดร.โอ๋-ปราโมทย์ เหรียญเจริญสุข คือ นักสะสมนาฬิกาตัวจริงคนหนึ่งของเมืองไทย เราจึงไม่พลาดที่จะไปพูดคุยกับเขาถึงเรื่องนี้กัน
“ผมเริ่มต้นเรื่องการสะสมนาฬิกามาตั้งแต่ปี 1992 ค่อยๆ เก็บจากแบรนด์ที่ราคาไม่สูงมากนัก แล้วก็ขยับขึ้นไปสู่แบรนด์ที่ราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ จนตอนนี้มีนาฬิกาที่มีคุณค่าอยู่หลายสิบเรือนเหมือนกัน ตั้งแต่ราคาหลักหมื่น แสน ไปจนถึงหลักล้าน เรียกว่าเป็นของรักทุกระดับทุกราคา จำได้ว่านาฬิกาเรือนแรกๆ ที่ผมซื้อมีราคาไม่ถึงหมื่นอย่าง Oris ในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็มีกำลังในการซื้อสูงมากขึ้นก็ทำให้การเก็บสะสมนาฬิกามีระดับและฟังก์ชั่นที่สูงขึ้นตามลำดับไปด้วย”
ดร.โอ๋บอกว่า นาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่นนั้นต้องมีความสวยงาม มีคุณค่า และมีความหมายในตัวเอง “แบรนด์ที่จะพูดถึงก็คงหนีไม่พ้น Patek Philippe, Panerai, Audemars Piguet (AP) หรือแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันมานานแล้วอย่าง Omega ซึ่งทั้งหมดต่างก็เป็นแบรนด์ที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน แต่นอกจากชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ผมเน้นว่าผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาควรลงไปศึกษาดูรายละเอียดและทำความรู้จักกับแบรนด์เหล่านี้ให้มากขึ้นด้วย เพราะนอกจากค่านิยมและรสนิยมที่แบรนด์ต่างๆ เหล่านี้มีอยู่แล้ว เจ้าของที่ซื้อนาฬิกาเรือนนั้นไปก็จะได้อะไรมากกว่าแค่ความชื่นชอบหรือความหลงใหลในนาฬิกาเรือนนั้นๆ อีกด้วย
“การเลือกนาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่น ผมไม่ได้มองแค่ว่า เอ๊ะ! แบรนด์นี้ผลิตรุ่นนี้มาจำนวนแค่ 4,000 เรือนทั่วโลกเท่านั้นนะ เราต้องรีบซื้อไว้ แต่ผมกลับมองว่าถ้าผลิตถึง 4,000 เรือนเนี่ยคงไม่ใช่ลิมิเต็ด ในความรู้สึกของผม แต่แค่ได้ชื่อว่าลิมิเต็ด เท่านั้นเอง ผมมองว่าความลิมิเต็ด ต้องมีนัย มีที่มาที่ไป มีความพิเศษในการผลิต เช่น นาฬิกาเรือนนี้ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปี โดยผลิตแค่ 100 เรือนเท่านั้น เป็นต้น แบบนี้สิถึงจะเป็นลิมิเต็ดจริง เพราะมีที่มาที่ไป แล้วที่สำคัญถ้าผลิตเยอะเกินไปก็น่าจะไม่มีความเป็นลิมิเต็ดฯ น่ะครับ ต้องอย่าลืมว่า หลายต่อหลายครั้ง นาฬิการุ่นนั้นๆ ยังผลิตไม่ถึง 4,000 เรือนในแต่ละปีด้วยซ้ำไป”
ดร.โอ๋ เสริมว่า นอกจากคำว่า ลิมิเต็ดเอดิชั่น แล้ว ในวงการนักสะสมนาฬิกาจะต้องรู้จักคำว่า "ลิมิเต็ดโปรดักชั่น" ด้วย เพราะถือเป็นการผลิตในจำนวนจำกัดที่น้อยมาก (เกือบทั้งหมดจะไม่แจ้งจำนวนผลิต) จนนักสะสมนาฬิกาตัวยงทั้งหลายจะรู้กันเองโดยอัตโนมัติว่า แบรนด์ไหนเป็นลิมิเต็ดโปรดักชั่นที่จะต้องรีบจับตามองไว้
เรามาดูนาฬิกาของรักของหวงทั้ง 3 เรือน 3 สไตล์สุดยูนีกที่เจ้าตัวภูมิใจนำเสนอกัน "เรือนแรกสายหนังสีดำนี้คือ Bovet (ราคาประมาณ 2 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นตัวแทนความหรูหรา ผมประทับใจตรงระบบ Amadeo หรือการเปลี่่ยนแปลงรูปแบบที่ทำให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นได้ทั้ง นาฬิกาพก นาฬิกาตั้งโต๊ะ และนาฬิกาข้อมือได้ในเรือนเดียว โดยแค่ถอดสายออกมาด้วยตัวเราเองเท่านั้นไม่ต้องพึ่งพาช่างนาฬิกาแต่อย่างใด จุดเด่นของนาฬิกาแบรนด์นี้คือจะมีเม็ดมะยมอยู่ด้านบน และรุ่นนี้จะมีการบอกพลังงานสำรองอยู่ด้านขวามือ ด้านหลังซึ่งเปิดให้เห็นกลไกภายในมีการแกะสลักสวยงามของโรเตอร์ซึ่งนับเป็นงานฝีมือระดับสูงชนิดหนึ่ง ตัวเรือนผลิตจากทองคำ 18 เค นอกจากนี้ แบรนด์ Bovet (โบเว่ต์) ยังมาจากชื่อของพ่อค้าชาวสวิสที่เดินทางมาค้าขายในจีนแผ่นดินใหญ่ โบเว่ต์จึงถูกเรียกเป็นภาษาจีนซึ่งมีความหมายว่านาฬิกาในปัจจุบัน และได้รับความนิยมจากชาวจีนอย่างยาวนานมาจนทุกวันนี้
“เรือนที่สองซึ่งเป็นเรือนนาฬิกาเรือนสตีลก็คือ IWC รุ่น Ingenier (ราคาประมาณ 3 แสนบาท) เป็นรุ่นยอดนิยมรุ่นหนึ่งของแบรนด์นี้ เป็นนาฬิกาแนวสปอร์ตที่ออกแบบโดยเจอรัลด์ ฌองตา นักออกแบบที่เป็นช่างทำนาฬิกาในคนเดียวกัน ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องจากการออกแบบนาฬิกาแบรนด์ดังๆ อย่าง Patek Philippe รุ่น Nautilus และ Audemars Piguet รุ่น Royal Oak มาแล้ว นาฬิกาเรือนนี้ถูกผลิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้มีขนาดที่บางและหน้าปัดที่ใกล้เคียงกับรุ่นดั้งเดิมมากขึ้น แต่ยังคงรูปแบบและหน้าตาลักษณะเดิมโดยเฉพาะคุณสมบัติด้านการกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของนาฬิการุ่นนี้ในอดีต
“เรือนที่สามคือ Azimuth รุ่น Mr.Roberto (ราคาประมาณ 1.5 แสนบาท) นาฬิกาที่มีหน้าตาคล้ายกับหุ่นกระป๋องในยุค 1970- 1980 นาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิกาสไตล์ย้อนยุคที่น่ารัก มีฟังก์ชั่นการใช้งานโดดเด่นตรงที่ตาขวาเป็นช่องบอกเวลาเป็นชั่วโมง ตรงปากเป็นช่องบอกเวลาเป็นนาทีแบบเรโทรเกรด (เข็มกระเด้งกลับ) และที่ตาซ้ายเป็นช่องบอกเวลาของประเทศ (GMT) เรียกว่าเป็นนาฬิกาที่ใส่แล้วให้ความรู้สึกสนุกสนานในวันสบายๆ”
ดร.โอ๋ ทิ้งท้ายว่า ความสุขที่ได้จากการสะสมนาฬิกาส่วนหนึ่งก็คือ การได้มีส่วนร่วมแชร์ความหลงใหลและความรู้ในเรื่องของนาฬิกาไปสู่ผู้ที่รักและชื่นชอบการสะสมนาฬิกาเหมือนกันผ่านการพูดคุยและสื่อสารในแง่มุมต่างๆ เสน่ห์ของนาฬิกานั้นนอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีนัยบางอย่างที่อยู่ในตัวนาฬิกาแบบกลไกด้วย นั่นก็คือการขับเคลื่อนโดยกลไกและแสดงผลออกมาโดยใช้พลังงานกลจากร่างกายของเรา ดังนั้นสำหรับ ดร.โอ๋ซึ่งมีความหลงใหลนาฬิกามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นาฬิกาจึงเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเลยก็ว่าได้
รถคลาสสิกควรค่าการสะสม
หลายๆ คนอาจจะหลงใหลรถสปอร์ตหรูคันงามที่มาพร้อมความแรง และสีสันฉูดฉาด ในราคาหลายสิบล้านบาท แต่สำหรับนักสะสมแล้ว รถเก่าหายากในระดับลิมิเด็ตเอดิชั่น นั้นถือว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนได้
สำหรับเมืองไทย นักนิยมรถเก่ามีรสนิยมในการสะสมที่แตกต่างกันออกไป แต่คันที่เป็นที่หมายปองของใครหลายคนนั้นมีอยู่ไม่มากมายนัก อย่างรถน่ารักคิขุรูปทรงประหลาดตาที่เรียกกันว่า "บับเบิ้ล คาร์" ยี่ห้อ บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น อีเซตตา (BMW Isetta) เป็นรถยนต์ในสมัยหลังสงครามโลกยุคที่ข้าวยากหมากแพงประชาชนต้องประหยัดเชื้อเพลิง จึงเป็นที่มาของการผลิตรถยนต์หน้าตาเช่นนี้ ราวๆ ปี 1955-1962 ในแถบ สเปน เยอรมนี และอังกฤษ
ภัทร ศศิวิมลกุล พนักงานระดับผู้จัดการบริษัทเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นนักสะสมยานยนต์หลากรูปแบบ และหนึ่งในนั้นมี บีเอ็มดับเบิลยู อีเซตตา 300 ที่มีเพียงไม่กี่คันในประเทศไทย เพราะมีความโดดเด่นเฉพาะตัวจึงเป็นที่หมายปองของบรรดาเหล่านักสะสม เล่าให้ฟังว่า รถคันนี้เป็นรถพวงมาลัยขวาเพียงไม่กี่คันจากทั่วโลกที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ ซึ่งปกติรถรุ่นดังกล่าวจะเป็นพวงมาลัยซ้าย พร้อมด้วย เครื่องยนต์ 1 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 300 ซีซี.
อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่มี 3 ล้อจากปกติ 4 ล้อ ทำให้เข้าข่ายเป็นรถรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นในยุคนั้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับใน “สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย” ซึ่งถือว่าเป็นรถคลาสสิกที่มีอายุกว่า 50 ปี มีสภาพสมบูรณ์และสามารถขับขี่ได้จริงพร้อมมีทะเบียนรถสามล้อส่วนบุคคลถูกต้องตามกฎหมาย
“เคยมีคนมาขอซื้อรถคันนี้ในราคา 3 ล้านบาท ซึ่งส่วนตัวเลือกตัดสินใจที่จะไม่ขายด้วยเหตุผลที่ว่ารถคันนี้ไม่มีทางที่จะมีผลิตออกมาอีกแล้ว และความมีเสน่ห์ของรถคลาสสิกคันนี้ ควรค่าแก่การเก็บรักษาเอาไว้” ภัทร ทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ยังมีรถอีกมากมายหลายรูปแบบที่ขึ้นแท่นเป็นรถที่นักสะสมรถต้องการมีไว้ในครอบครอง อย่างเช่น อัลฟา โรมิโอ 1600 สไปเดอร์ ดูเอตโต รถ 2 ประตู เปิดประทุน เริ่มเดินสายการผลิตเมื่อปี 1966 และเผยโฉมครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ในปีเดียวกัน ออกแบบโดย ปินินฟารีนา มีด้านหน้า และบั้นท้ายที่กลมมน จึงถูกเรียกว่า ดูเอตโต ตามแนวเพลงที่มีสไตล์กลมกล่อม
รูปทรงด้านหน้า-ท้าย เรียกกันว่า โบทเทล (BOAT TAIL) แต่คนไทยมักเรียกว่า ท้ายแมลงสาบ เป็นเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ กันชนหน้ามีไฟเลี้ยวซ่อนอยู่ด้านใน และหลังคาเปิดประทุนได้ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1,570 ซีซี 109 แรงม้า
อีกหนึ่งคันคือ บีเอมดับเบิลยู 503 (BMW 503) รถที่เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังก์ฟวร์ท ปี 1955 และออกจำหน่ายในปีถัดมา มีทั้งแบบ 2 ประตู คูเป้ และเปิดประทุน ทำยอดขายในตลาดโลกได้ทั้งหมด 412 คัน
จุดเด่นของรูปทรง อยู่ที่การออกแบบโดยไม่มีเสาบี หรือเสากลาง ช่วยให้เส้นสายแนวระนาบดูไหลลื่น กระจกข้างทั้ง 4 บาน สามารถเลื่อนลงได้ทั้งหมด ภายในหรู แฝงความสปอร์ต เบาะนั่งเป็นหนัง พวงมาลัย 4 ก้าน เกียร์อัตโนมัติ แผงหน้าปัดรูปทรงทันสมัย ใช้ระบบไฟฟ้าทั้งคัน
เครื่องยนต์ วี 8 สูบ ขนาด 3,168 ซีซี ให้กำลัง 140 แรงม้า เกียร์ธรรมดาเดินหน้า 4 จังหวะ ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นได้รับคำชมว่าเป็นรถที่มีบุคลิกชัดเจน เย้ายวน บนเรือนร่างกะทัดรัด นับเป็นรถยนต์ที่โดดเด่นมากในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2
สำหรับนักสะสมตัวจริงแล้ว การเลือกสะสมสิ่งของตามความเหมาะสมกับฐานะ อายุ เทรนด์ ฯลฯ นั่นย่อมมีความสำคัญที่สุด ทั้งยังเป็นการสะสมที่ให้ความสุขใจอย่างที่เงินทองก็ซื้อไม่ได้


