ประสพ ศุภวราพงษ์ ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยาก
เด็กหนุ่มที่เติบโตมาในบ้านที่แวดล้อมด้วยนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก ผลักดันให้เขากลายเป็นนักธุรกิจในเวลาต่อมา
โดย...กรองทรัพย์
เด็กหนุ่มที่เติบโตมาในบ้านที่แวดล้อมด้วยนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก ผลักดันให้เขากลายเป็นนักธุรกิจในเวลาต่อมา สิ่งสำคัญกว่าต้นทุนในการดำเนินธุรกิจก็คือการปลูกฝังแนวคิด “เถ้าแก่” ทำให้ ประสพ ศุภวราพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วศุภ ผู้นำเข้าแฟรนไชส์ร้านอาหารสคูลฟู้ด (School Food) หยิบจับธุรกิจอะไรก็รื่นไหลและประสบความสำเร็จทุกครั้ง แต่นอกจากแนวคิดที่ได้รับจากครอบครัวแล้ว การขับเคลื่อนชีวิตด้วย “ความอยาก” กล่าวคือ อยากมี อยากทำ และอยากเป็น
อยากเป็นมัณฑนากร
“ผมเป็นเด็กกิจกรรม เรียนไม่เก่งมากแต่เอาตัวรอดได้” กรรมการผู้จัดการวัย 32 ปี บอกมาเช่นนั้น แต่ข้อมูลที่เราได้รับต่อมาก็คือ เขาเรียนจบชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนในวัยเพียง 16 ปี จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ใน University of Maryland College Park ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ชาย แต่ไปอยู่ได้ 2 ปี ก็ต้องกลับมาเพราะทนคิดถึงบ้านไม่ไหว จึงโอนหน่วยกิตมาที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ด้านการตลาด เรียนจบมหาวิทยาลัยในวัย 20 ปี
“ตอนเด็กๆ ผมค่อนข้างแหวกแนว บอกกับพ่อไว้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากเป็นมัณฑนากร อยากเรียนดีไซน์ ตอนเอนทรานซ์ก็ยื่นมัณฑนศิลป์ ศิลปากรไว้ เพราะอยากเรียน แต่ก็มีข้อตกลงกับคุณพ่อว่าถ้าสอบไม่ติดก็จะไปเรียนเมืองนอก สรุปว่าก็ต้องไปเรียนเมืองนอก ตอนเรียนที่แมรี่แลนด์ไม่ได้เลือกคณะเพราะค้นหาตัวเองอยู่ แต่ตอนนั้นผมชอบเรียนเศรษฐศาสตร์มาก พอกลับมาเรียนต่อที่มหิดลเป็นเวลาที่ครอบครัวขยายกิจการเฟอร์นิเจอร์พอดี จึงไม่ลังเลที่จะมุ่งไปที่สายธุรกิจ จึงรู้สึกดีทำให้ตัดสินใจเรียนมาร์เก็ตติ้งที่มหิดลอินเตอร์จนจบ”
อยากมีร้านมือถือ
ประสพบอกว่า ขณะที่เขาอายุ 18 ปี ก็เริ่มอยากมีธุรกิจของตัวเอง จึงขอเงินคุณพ่อมาก้อนหนึ่งเพื่อเปิดร้านขายมือถือที่มาบุญครอง นับเป็นการทดลองทำธุรกิจครั้งแรกของเขา
“ตอนนั้นประสบการณ์น้อยมากๆ แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ผมก็ดูแลกิจการของตัวเองมาเรื่อยๆ ช่วงเวลา 2 ปี ที่เปิดร้านมือถือสอนเรื่องการบริหารจัดการเวลาให้ผม เพราะที่มหาวิทยาลัยมหิดลเรียนค่อนข้างหนัก ผมต้องตื่นเช้ามากเพื่อไปเปิดร้าน หรือไม่ก็เลือกไปเรียนแต่เช้า เพื่อที่จะมาเปิดร้าน 11 โมง กลับบ้าน 4-5 ทุ่ม แต่ระหว่างนั้นก็แบ่งเวลาอ่านหนังสือในร้าน ผมบริหารจัดการคนเดียว ผมว่าช่วงทดลองนี่แหละสนุกที่สุด
“พอเรียนจบก็ปิดร้าน และคิดว่าอยากจะทำอะไรจริงจัง จึงไปขอเรียนวิชาจากคุณพ่อ ท่านชวนไปทำงานที่โรงงาน ทำให้ผมได้แง่คิดหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต และแนวคิดหลายอย่าง ท่านสอนเสมอเรื่องระเบียบวินัยในการใช้ชีวิต ก็คือท่านไม่ได้บังคับให้เราต้องตื่นเช้า หรือเคี่ยวเข็ญให้เราต้องทำงาน แต่เขาจะมีวิธีคิดว่าจะต้องทำยังไงให้การใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า เขาจะสอนเรื่องแนวทางการคิด เน้นให้เราคิดเองให้ได้มากกว่า”
อยากทำธุรกิจของตัวเอง
การเรียนรู้ธุรกิจกับคุณพ่อ ทำให้ประสพเกิดความอยากอีกครั้ง เขาอยากมีธุรกิจของตัวเอง และได้รับโจทย์มาว่าต้องเกิดในธุรกิจเครื่องสำอางให้ได้
“ผมไปศึกษาตลาดเครื่องสำอางอยู่ครึ่งปี จนกระทั่งได้เดินทางไปเกาหลีใต้ ทำให้รู้จักกับแบรนด์ ดร.จาร์ท ผมทดลองใช้ ปรากฏว่าใช้ดี จึงตกลงทำธุรกิจร่วมกัน จึงเป็นที่มาของ ดร.จาร์ท
ในเมืองไทย (Dr.Jart+Thailand) ในปี 2555 เป็นบริษัทที่เราดึงญาติพี่น้องเข้ามาช่วยกันบริหาร ก็มีคุณหนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ พี่ชาย น้องสาว เป็นธุรกิจแรกที่พี่น้องได้ทำงานร่วมกันจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่พวกเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ปรับตัวและเรียนรู้เรื่องธุรกิจด้วยกัน จนได้รู้ว่าใครเก่งด้านไหน ใครมีจุดอ่อนอะไร ก็ช่วยเสริมกัน ช่วยกันทำงาน จนตอนนี้ผมก็ไม่ได้โฟกัสที่ ดร.จาร์ทแล้ว คนที่ถนัดงานด้านนี้ก็ทำต่อไป ส่วนตัวผมเองก็มุ่งมาที่ธุรกิจอาหาร”
ผลต่อเนื่องจากการทำธุรกิจกับดร.จาร์ท ทำให้นักธุรกิจวัยต้น 30 รู้จักกับร้านสคูลฟู้ด ร้านอาหารเกาหลีที่ทำให้คิดถึงทุกครั้ง จนอยากนำมาไว้ในเมืองไทย จึงเจรจาขอทำธุรกิจร่วมกันโดยเป็นตัวแทนนำเข้าแฟรนไชส์ร้านอาหารสคูลฟู้ด ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เมอร์คิวรี่วิลล์ ชิดลม
“ผมทำงานร้านอาหารมาแล้วตั้งแต่เด็กๆ เพราะอยากมีค่าขนมเพิ่มเติม ได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานตรงนั้นมาพอสมควร ตอนนั้นทำงานหลังร้านอย่างเดียว จึงพอรู้มาบ้างว่า ถ้าทำธุรกิจอาหารปัญหาหลังร้านจะเจออะไร แต่งานหน้าบ้านผมก็ใช้ประสบการณ์จากเมื่อครั้งบริหาร ดร.จาร์ท แต่สิ่งที่ผมสนุกในธุรกิจอาหารก็คือการได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเรื่องความพอใจของลูกค้า ช่วงแรกๆ ก็จะมีปัญหาเรื่องการรับรู้ของลูกค้าที่ไม่ชินกับรสชาติอาหารแนวนี้ หรือบางคนก็ไม่คิดว่าเราเป็นร้านอาหารแต่ชื่อร้านอาหารชวนให้คนคิดไปว่าเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารมากกว่า”
แม้จะมีปัญหาเรื่องการรับรู้ของลูกค้าในช่วงแรก แต่ในเวลาไม่นานร้านสคูลฟู้ดก็เปิดสาขาที่ 2 ที่สยามเซ็นเตอร์
“สิ่งที่ทำให้ความแปลกใหม่แบบสคูลฟู้ดกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ก็คือ การบอกปากต่อปาก และกระแสเคป๊อป เพราะตอนแรกเราไม่ได้ประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเด็กที่เป็นแฟนเพลงของศิลปินเกาหลีเลย แต่ไปๆ มาๆ กลุ่มหลักของลูกค้าเราก็คือจากกระแส ถ้าคนที่เคยดูรายการเกาหลีมาแล้วก็จะคุ้นเคยกับร้านสคูลฟู้ด ดังนั้นเมื่อมาถึงเมืองไทย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ลูกค้ากลุ่มเด็กๆ เดินเข้ามาหาเราก่อน”
ภายใน 5 ปี อยากมี 10 สาขา
ผู้บริหารสคูลฟู้ดบอกว่า ภายใน 5 ปี ตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 10 สาขา โดยมองศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ไว้หลายแห่ง “ในบ้านเราต้องเล็ก ถ้าในบ้านเราเป็นองค์กรใหญ่ปุ๊บ ความอุ้ยอ้ายก็เกิด ผมพยายามทำองค์กรให้เล็ก ทุกอย่างก็จะคล่องตัว เราทำธุรกิจครอบครัวก็จะมีการพูดคุยกันทุกอาทิตย์ พี่น้องทุกคนจะมีการแชร์กัน ทุกคนในร้านจะเป็นพี่น้องกับเรา ใครมีปัญหาสามารถเข้ามาหาผมได้โดยตรง ไม่ต้องมีใครมีกำแพงซึ่งกันและกัน พอรู้ปัญหาที่แท้จริงเร็วก็จะแก้ปัญหาได้เร็ว”
“ผมว่าผมเป็นนักวางแผนที่อยากทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อยากทดลองอยากเรียนรู้ ถึงแม้ว่าผมจะชอบธุรกิจนี้มาก แต่เมื่อธุรกิจรันได้ด้วยตัวเองแล้ว ผมก็มองๆ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็น
เป้าหมายต่อไป เพราะอยากมีตึกใหญ่ๆ เป็นของตัวเอง ผมว่าชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยความอยาก เพราะถ้าไม่เริ่มจากความอยาก เราก็จะทำมันไม่สนุกและไม่สวยงามเท่าไหร่” ผู้นำเข้าแฟรนไชส์ร้านอาหารสคูลฟู้ด กล่าวปิดท้าย


