แรงศรัทธาแห่งการแสวงบุญ ในดินแดนพระพุทธองค์ 1
...ม.ล.สราลี กิติยากร
สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้คอลัมน์เที่ยวละไม ไทยแลนด์เวิลด์ ขอนำบันทึกการไปแสวงบุญยังดินแดนพระพุทธองค์มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง จากการที่น้ำผึ้งและทีมถ่ายทำรายการเที่ยวละไม ไทยแลนด์เวิลด์ ได้มีโอกาสบินลัดฟ้าไปยังประเทศอินเดีย ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา ที่ทางน้ำผึ้งและทีมงานได้รับความกรุณาจากหลวงพ่ออารยะวังโส ให้ร่วมคณะไปกับคณะศรัทธาด้วย
เมื่อได้มีโอกาสมาที่เมืองพุทธคยา สิ่งแรกที่น้ำผึ้งนึกถึงคือ มหาเจดีย์พุทธคยา เคยเห็นแต่ในหนังสือ หรือได้เห็นองค์เจดีย์จำลองในวัดต่างๆ ในเมืองไทย พอได้มาชมยังสถานที่จริงที่มีองค์เจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เห็นผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวพุทธที่มีความเลื่อมใส ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นความอลังการในความศรัทธาของผู้คน จนเราสามารถรับรู้ได้ถึงความสงบและร่มเย็นที่เกิดขึ้นในใจ
ซึ่งในวันนั้นหลวงพ่ออารยะวังโสได้พาพวกเราเข้าไปกราบ พระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธเมตตา ที่ประดิษฐานเป็นพระประธานภายในมหาโพธิวิหาร อยู่ด้านในห้องโถงชั้นล่างของพระเจดีย์ ซึ่งพระพุทธรูปองค์เดิมนั้นสร้างมาจากหินแกรนิตสีดำ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ทาทองทั้งองค์ดูแล้วสวยงามมากๆ เลยล่ะค่ะ หลวงพอได้อธิบายให้เราฟังว่า
“ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นบริเวณที่พระพุทธเจ้าทรงประทับ ครั้งกาลที่ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้นชื่อมหาโพธิวิหาร คือมหาวิหารโพธิ เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธเมตตาจะมาจากคำว่าเมตตาเป็นสมมติของพวกเรา ที่จริงพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาซึ่งยกสูงกว่าเมตตา”สำหรับ มหาเจดีย์พุทธคยา ได้ถูกจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปีพุทธศักราช 2545 ซึ่งเป็นสถานที่ประทับตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และโดยส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนที่มากราบสักการะมหาเจดีย์พุทธคยามักจะมานั่งเจริญกรรมฐานที่บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์กันค่ะ ปัจจุบันเป็นต้นที่เกิดจากหน่อที่ 4 ที่ขึ้นทดแทน มีอายุได้ 129 ปีแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งได้มานั่งสมาธิและอธิษฐานจิต ทั้งยังได้ใบพระศรีมหาโพธิ์กลับไปบูชา จากการอธิษฐานบางคนขอให้ได้ใบโพธิ์ขนาดเล็กที่สุดเพื่อจะได้พกติดกระเป๋า ก็ได้ดังคำอธิษฐานจริงๆ ค่ะ ซึ่งบริเวณรอบๆ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เขาจะกั้นแนวรั้ว เมื่อมองลอดเข้าไปด้านในจะเห็นพระแท่นวัชรอาสน์ หรือบัลลังก์เพชร ที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงโปรดให้สร้างจำลองขึ้นให้เป็นเครื่องหมายบูชาจากของเดิม แต่เดิมเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นตำแหน่งที่พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ในสัปดาห์แรก โดยไม่ลุกขึ้นจากที่ประทับตลอด 7 วันเลยล่ะค่ะ
จากนั้นหลวงพ่ออารยะวังโสได้พาไปที่อนิมิสเจดีย์ ซึ่งหลวงพ่อได้อธิบายว่า
“เป็นสัปดาห์ที่ 2 ต่อเนื่องที่พระพุทธเจ้าทรงประทับในอิริยาบถการยืน เรียกว่าทรงอยู่ในวิมุตติธรรมสืบเนื่อง 7 สถานที่ 7 สัปดาห์ ตำแหน่งอนิมิสเจดีย์อยู่ด้านทิศตะวันออก ที่เยื้องมาทางด้านทิศเหนือ ทำมุมกันเป็นตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าประทับยืน แล้วเพ่งมาที่องค์พระศรีมหาโพธิ์อีก 7วัน โดยไม่กะพริบพระเนตร” และบริเวณที่อนิมิสเจดีย์มีต้นพระศรีมหาโพธิ์อีกต้น ต้นนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ที่คุมกองบูรณะโบราณคดีของอินเดีย เข้าใจว่าตำแหน่งอนิมิสเจดีย์คือบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ จึงแยกหน่อคู่กันมาจากต้นเดียวกัน แล้วแยกปลูกค่ะไม่ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์จะพบหินทรายสลักเป็นดอกบัวบานจำนวน 19 ดอก แท่นหินทรายแดงยาวประมาณ 6 เมตร บริเวณนี้คือ รัตนจงกรมเจดีย์ เป็นที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่ 3 ทรงเสด็จเดินจงกรมระหว่างโพธิบัลลังก์และประทับยืนเพ่งอนิมิสเจดีย์ตลอด 7 วันเช่นกัน หลวงพ่อบอกว่า บริเวณนี้มีพลังมาก คนมักจะเดินผ่านไปมาไม่ค่อยได้กราบสักการะ ด้วยมุ่งตรงไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างเดียว
ต่อจากนั้นหลวงพ่อได้พาเดินไปรอบๆ จะพบกับ รัตนคละเจดีย์ เป็นที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่ 4 ส่วนสัปดาห์ที่ 5 คือที่ ต้นอชปาลนิโครธ ที่พระพุทธองค์ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาจะอยู่นอกบริเวณนี้ค่ะ สำหรับสัปดาห์ที่ 6 จะทรงประทับที่ โคนต้นมุจลินทร์ และสัปดาห์ที่ 7 ประทับที่บริเวณ ควงไม้ราชายตนะ ค่ะ
หลังจากที่หลวงพ่อพาชมรอบบริเวณมหาเจดีย์พุทธคยาแล้ว ท่านได้แนะนำให้ไปชม สถูปบ้านนางสุชาดา ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ถูกค้นพบโดย เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม จากบริเวณบ้านนางสุชาดานี้เราจะมองเห็นจุดที่ตั้งต้นอชปาลนิโครธที่อยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ อีกจุดหนึ่งที่เราได้ไปชมกันในวันนั้นคือ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตรงบริเวณที่มีการสันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเสี่ยงทายด้วยการลอยถาดว่าท่านจะสำเร็จเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ซึ่งถาดก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปตามคำอธิษฐานของพระองค์ ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นจุดนี้ เพราะบริเวณนี้อยู่ตรงข้ามกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อเรามองจะเห็นมหาเจดีย์พุทธคยาอย่างชัดเจนค่ะ พูดถึงแม่น้ำเนรัญชรา น้ำผึ้งว่าในสมัยพุทธกาลน้ำคงเต็มฝั่ง ทัศนียภาพคงสวยงามมาก แต่ปัจจุบันไม่มีภาพเหล่านี้หลงเหลือเลยค่ะ สายน้ำเหือดแห้งเหลือแต่ดินทราย ผู้คนสามารถเดินผ่านไปมามองคล้ายทะเลทรายยังไงยังงั้น หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าเราใช้มือขุดลงไปจะเจอน้ำ ซึ่งก็ไม่มีใครทดลองขุด เพราะเห็นชาวบ้านใช้พื้นที่ของสายน้ำเดิมเป็นที่ลงทุ่ง แทนห้องน้ำกันเป็นทิวแถวค่ะ
จากเมืองพุทธคยาเรากลับไปพักแรมที่เมืองราชคฤห์ เมืองราชคฤห์ ในอดีตเป็นพระนครของแคว้นมคธ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเลือกประดิษฐ์พระพุทธศาสนาไว้ในแคว้นนี้ จึงได้รับการขนานนามว่า เป็นพระนครแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐพิหาร มาจากคำว่า วิหาร หรือวัดในพระพุทธศาสนาค่ะ ซึ่งเราจะเห็นว่าโบราณสถานหลายๆ แห่งในเมืองราชคฤห์นั้น จะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้น อย่างที่แรกคือ สถูปที่พระเจ้าพิมพิสารมาพบกับมหาบุรุษ ดูด้วยสายตาจะเป็นลักษณะคล้ายกองอิฐโบราณ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงตรัสรู้มาพบกับพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า เมื่อไรที่ทรงสำเร็จเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาโปรดท่านด้วย แต่ถ้าพูดตามการสันนิษฐานของนักโบราณคดีของอินเดีย ว่ากันว่าสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งหมายความว่าสร้างหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วนั่นเอง และได้มีการต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัย ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไปค่ะ ต่อมากรมโบราณคดีได้มีการขุดค้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 และได้มีการบูรณะเพิ่มเติมดังที่เห็นในปัจจุบันค่ะ
ที่ต่อมาเป็น รอยเกวียนโบราณ มีความลึกประมาณ 1 คืบมือเราค่ะ แสดงให้เห็นว่าแต่ก่อนบริเวณนี้เคยมีการสัญจรไปมาด้านการค้ามาก เพราะเส้นทางด้านนี้ออกไปจะเป็นประตูเมือง ถัดไปไม่ไกลเป็น คุกพระเจ้าพิมพิสาร สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่พระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าพิมพิสารพาพ่อมาขังที่นี่ โดยการหลงเชื่อพระเจ้าเทวทัต ระหว่างที่พระเจ้าพิมพิสารถูกขังพระมเหสีได้แอบนำอาหารมาถวาย ทำให้ทรงมีชีวิตอยู่รอดได้ เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูรู้ จึงไม่ให้แม่นำอาหารมาให้พ่ออีก เผอิญพระเจ้าพิมพิสารเหลือบเห็นพระพุทธเจ้าทรงเดินจงกรมอยู่บนเขาคิชฌกูฏ ทรงได้ปฏิบัติตามด้วยความมีสติ และรู้สึกปีติขึ้นมา ทำให้ต่อชีวิตต่อไปได้ แต่ลูกก็มารู้อีก จึงใช้มีดกรีดฝ่าเท้าพ่อเพื่อไม่ให้เดินจงกรม และการที่พระเจ้าพิมพิสารโดนกรีดฝ่าเท้านั้น เป็นเพราะกรรมเก่าของพระองค์ที่เคยสวมรองพระบาทเข้ามาในพุทธสถาน เลยกลายเป็นบาปติดตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอได้ฟังประวัติตรงนี้ รู้สึกรันทดใจมากๆ เลยล่ะค่ะ
ว้า... หน้าคอลัมน์ในวันนี้หมดลงแล้ว แต่บันทึกเรื่องราวในดินแดนพุทธกาลยังมีให้ได้อ่านกันต่อในฉบับหน้า ยังไงก็อย่าลืมติดตามเที่ยวละไม ไทยแลนด์เวิลด์ กันนะคะ ทั้งในคอลัมน์นี้และในรายการเที่ยวละไม ไทยแลนด์เวิลด์ ทุกเช้าวันอาทิตย์ เวลา 06.20 น. ทาง ช่อง 3


