ฝันอยากเป็นนักเขียน
การเป็นนักเขียนเป็นหนึ่งในอาชีพที่คนจำนวนมากใฝ่ฝันอยากจะเป็นแม้จะไม่ได้เคยมีประสบการณ์การเขียนมาก่อนเลย
โดย...หนูดีวนิษา เรซ
การเป็นนักเขียนเป็นหนึ่งในอาชีพที่คนจำนวนมากใฝ่ฝันอยากจะเป็นแม้จะไม่ได้เคยมีประสบการณ์การเขียนมาก่อนเลย
หนูดีเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้มีประสบการณ์การเขียนหนังสือ และไม่ได้เรียนจบอักษรศาสตร์ แต่เริ่มต้นด้วยการ “อยากเล่า” ง่ายๆ เท่านั้นเอง
เนื่องจากปัจจุบันนี้หนูดีเห็นคนรุ่นใหม่อยากผันตัวเองมาเป็นนักเขียน หรืออยากมีงานอดิเรกเป็นนักเขียน หนูดีจึงอยากขอแชร์ทิปส์และทริกในการเริ่มต้นเข้าสู่ถนนสายนี้สำหรับมือใหม่หัดเขียนนะคะ
อันดับแรก ถ้าคุณเป็นคนนอกวงการเขียนและอยากลองดูสักตั้ง สิ่งที่คุณต้องถามตัวเองคือ คุณเป็นคนชอบเล่าหรือเปล่า หากเมื่อถามตัวเองแล้วคำตอบคือ คุณเป็นคนพูดน้อย ไม่ใช่คนเจ๊าะแจ๊ะ ไม่ใช่คนช่างจำนรรจา พอได้คำตอบแบบนี้หลายๆ คนอาจกังวลว่า แล้วฉันจะเป็นนักเขียนได้เหรอ พูดไม่เก่งออกซะขนาดนี้ หนูดีอยากบอกว่า อย่ากังวลไปค่ะ คนพูดน้อยไม่ใช่จะเป็นนักเขียนที่ไม่ดีเสียเมื่อไหร่ พูดน้อยก็เขียนเก่งได้ หนูดีพบนักเขียนเก่งๆ ระดับเบสต์เซลเลอร์หลายท่านที่เป็นคนพูดน้อยดอกพิกุลร่วง แต่พอได้เขียนเรื่องที่ตัวเองชอบ เรื่องที่ตัวเองอิน ก็เขียนได้เป็นบ้าเป็นหลัง แถมสำนวนยังพลิ้วน่าอ่านเสียด้วย ดังนั้นบุคลิกในโลกแห่งความเป็นจริงกับบุคลิกในโลกแห่งการเขียนไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกันหรอกค่ะ
อันดับที่สอง ลองถามตัวเองว่า ที่อยากเป็นนักเขียนนี้อยากเขียนแนวไหน เพราะจริงๆ แล้วเวลาคนจะเขียนหนังสือสักเล่ม เราเขียนได้หลายแนวมากๆ ยกตัวอย่างเช่น หนูดีเองเคยฝันอยากเป็นนักเขียนนิยายสนุกๆ แต่พบว่าตัวเราเองเรียนมาสายที่การเขียนเรื่องจริงจัง เขียนฮาวทูจะเหมาะและทำได้ง่ายกว่า เพราะว่าเราถนัดในการเขียนรายงานหรือสรุปงานวิจัยมาก่อน จึงตัดสินใจว่า เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสมองและการพัฒนาตัวเองก่อน และเก็บ “นวนิยาย” ไว้เป็นโปรเจกต์ในอนาคตไกลๆ ส่วนคนอีกจำนวนมากอาจอยากเขียนหนังสือนำเที่ยวเพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยว บางคนเก่งเฉพาะทางก็อยากเล่าเรื่องราวในสาขาอาชีพตัวเอง และที่สำคัญ คนเก่งหลายๆ คนนั้นเขียนได้หลายแนว การตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันเหมาะจะเขียนแนวไหนมากที่สุดในเวลานี้” จำเป็นมาก เพราะเราเป็นแค่คนคนเดียว ไม่สามารถทำทุกสิ่งได้พร้อมๆ กันแล้วออกมาดีไปหมดได้ ประเด็นก็คือการโฟกัสพลังงานไปที่จุดจุดเดียวและทำมันให้ดีที่สุดก่อน
อันดับสาม เมื่อได้แนวเขียนมาแล้ว เราก็ต้องสร้าง “รูทีน” หรือไลฟ์สไตล์ของชีวิตประจำวันให้เหมาะกับการที่จะเขียนงานดีๆ ออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะข้อแตกต่างระหว่างนักเขียนมือสมัครเล่นกับนักเขียนอาชีพ ก็คือ นักเขียนมือสมัครเล่นนั้นจะเขียนก็ต่อเมื่อมีอารมณ์จะเขียนเท่านั้น ถ้าอารมณ์ศิลปินไม่สิง เป็นตายอย่างไรก็เขียนไม่ออก ส่วนนักเขียนมืออาชีพนั้นจะมีเวลาแห่งการเขียนประจำวันหรือประจำสัปดาห์อยู่แล้ว กำหนดค่อนข้างตายตัวลงไปเลย ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก จะมีอารมณ์หรือไม่มีอารมณ์ องค์จะลงหรือไม่ลง อย่างไรคุณก็ต้องเขียนต้นฉบับออกมาให้ได้ เพราะมีเส้นตายเวลาที่กำหนดไว้รออยู่ ดังนั้นการสร้างรูทีนชีวิตประจำวันให้มีเวลาตายตัวสำหรับงานเขียนจะจำเป็นมาก สำหรับคนที่ต้องการสร้างผลงานสม่ำเสมอออกมาสู่สายตาสาธารณชน และสำหรับมือใหม่ก็เช่นเดียวกันค่ะ กำหนดเวลาไปเลยว่าจะเขียนช่วงไหนของวัน นักเขียนรุ่นใหญ่บางคนบอกว่า “ตื่นเช้ามาปั๊บต้องเขียนให้จบหนึ่งบทเลย ไม่อย่างนั้นช่วงสายๆ บ่ายๆ จะวุ่นวาย ไม่ได้เขียนหรอก” แต่บางคน อย่างหนูดีเป็นต้น จะชอบออกกำลังและทานอาหารเช้าชุดใหญ่เสียก่อนมากกว่า เพราะตื่นมาปุ๊บนั่งจ้องหน้าจอคอมพ์ปั๊บดูมันจะเศร้าไป แต่ตรงนี้ แล้วแต่จริตของแต่ละคน สไตล์ใครสไตล์คนนั้นค่ะ
จากนั้นคือการตีพิมพ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่คนคิดว่ายากสุด เพราะเราต้องไปหาสำนักพิมพ์เพื่อให้เขายินยอมพิมพ์ให้ หรือหากจะพิมพ์เองก็ต้องมีเงินทุนจำนวนมาก แต่แท้จริงแล้วหนูดีคิดว่าข้อนี้กลับกลายเป็นปัญหาที่ควรกังวลเป็นอันดับท้ายๆ เพราะหากต้นฉบับของเราดีจริงนั้นจะมีคนอยากพิมพ์ให้เราแน่นอน ดังนั้นจึงควรโฟกัสพลังงานไปที่การหาแนวทางการเขียนที่เหมาะกับเราให้ดีที่สุดก่อน ทำมันออกมาให้ดีและจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะนำต้นฉบับดีๆ นั้นไปทำอะไรต่อ
คำถามสำคัญคือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่างานเขียนแนวไหนเหมาะกับเราที่สุด สำหรับหนูดีแล้วคำตอบมาง่ายมาก นั่นก็คือเราเขียนอะไรแล้วลื่นไหลที่สุด เขียนแล้วลื่น เขียนแล้วสนุก เขียนแล้วอยากเล่าต่อไปเรื่อยๆ ไม่ตัน ไม่สะดุด พอเขียนต้นฉบับได้สักก้อนใหญ่ๆ แล้ว คราวนี้ก็ถึงจุดที่เราต้องทดสอบตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยการนำไปให้คนใกล้ตัวที่เราไว้ใจว่าจะคอมเมนต์เราอย่างไม่เกรงใจด้วยความจริงใจ เอาให้อ่านเลยค่ะ อย่าได้รีรอและอย่ากลัว เพราะว่าคนคนนั้นจะบอกเราได้เลยว่างานเขียนของเราได้เรื่องหรือไม่ และเราเองก็ต้องฟังด้วยใจที่เปิดกว้างและเอามาแก้ไข
ตัวหนูดีเองทุกวันนี้ก็ยังคงเอาต้นฉบับหนังสือเล่มใหม่ให้คนใกล้ตัวทุกคนอ่านเสมอ และพวกเขาก็คอมเมนต์อย่างจริงใจเสมอ ทำให้หนูดีรู้ตัวว่าควรแก้ไขหรือควรลดเพิ่มอะไรอย่างไร
สิ่งสำคัญที่มักโดนมองข้าม ก็คือ “นักเขียนต้องเป็นนักอ่าน” คนที่อยากเขียนผลงานดีๆ ออกมาได้ต้องจัดเวลาแห่งการอ่านหนังสือประจำวันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง อาจจะอ่านครั้งละ 1520 นาที แต่รวมๆ แล้ววันหนึ่งควรได้อ่านหนังสือดีๆ ที่จะสร้างสำนวนภาษาของเรา หรือกระตุ้นจินตนาการของเราให้บรรเจิด ไม่สำคัญว่าเราจะอ่านแนวไหนจะอ่านทุกแนวก็ได้ แต่ต้องอ่านค่ะ หนูดีเองพกหนังสือดีๆ ติดตัวไปด้วยทุกที่ ว่างแล้วเป็นอ่านเสมอ
หากใครคิดอยากลองเป็นนักเขียนดู หนูดีแนะนำเลยว่า เป็นโลกที่สนุกมาก หากก้าวเข้ามาแล้วติดใจแน่นอนค่ะ


