posttoday

คิดถึง ‘ดีทูบี’ ในวันนี้มี ‘แดน-บีม’

25 กันยายน 2557

“ดีทูบี” (D2B) ในความจำของคนวัย 20 ปีขึ้นไป เชื่อได้ว่าหลายคนต้องรู้จัก ย้อนกลับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่เด็กวัยแรกรุ่น จนถึงสาวน้อยสาวใหญ่ ต่างสมัครใจเป็นแฟนคลับ

โดย...นกขุนทองชนิดาภา / ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

“ดีทูบี” (D2B) ในความจำของคนวัย 20 ปีขึ้นไป เชื่อได้ว่าหลายคนต้องรู้จัก ย้อนกลับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่เด็กวัยแรกรุ่น จนถึงสาวน้อยสาวใหญ่ ต่างสมัครใจเป็นแฟนคลับ สร้างปรากฏการณ์ศิลปินแห่งยุคที่มีแฟนเพลงรักใคร่ เอาเป็นว่าถ้าตอนนี้เราชินตากับภาพแฟนคลับมหาศาลมารอต้อนรับศิลปินเคป๊อป เมื่อก่อนดีทูบีก็ไม่น้อยกว่านี้เลย จัดเป็นบอยแบนด์ไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

“แดน-วรเวช ดานุวงศ์” “บีม-กวี ตันจรารักษ์” และ “บิ๊ก-อภิเชษฐ์ (ปาณรวัฐ) กิตติกรเจริญ” คือ 3 หนุ่มแห่ง “ดีทูบี” ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นภาพความทรงจำที่ยากจะลบเลือน เพราะมันยิ่งใหญ่และมีเรื่องราวให้ยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ภาพในความทรงจำผุดขึ้นอีกครั้ง บีมเป็นตัวแทนนำมาส่งต่อ “คือพูดตรงๆ ตอนนั้นช่วงแรกๆ เราไม่รู้ว่าเราดังแค่ไหน ดังระดับไหน เพราะเราทำงานทุกวัน มาขึ้นรถที่อาร์เอสไปทำงาน และเมื่อก่อนแฟนคลับก็ไม่ได้เจอศิลปินง่ายหรือบ่อยอย่างตอนนี้ มันจะมีช่วงเวลาโปรโมท ไปตามสถานีวิทยุบ้าง สถานีโทรทัศน์ ซึ่งบางทีก็ได้เจอกลุ่มแฟนเพลง แต่ก็ไม่เยอะมาก แต่ถ้าที่ไหนประกาศไปว่าดีทูบีมาอันนั้นแหละครับเราจะรู้สึกว่า โห...แฟนคลับเราเยอะนะ มีคนอยากเจอเราเยอะ จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปออกรายการสด เราทำเวทีเขาพัง เพราะแฟนคลับเยอะมากจนล้นมาขึ้นเวที แล้วเวทีมันก็พัง”

คิดถึง ‘ดีทูบี’ ในวันนี้มี ‘แดน-บีม’

 

สำหรับแดนยังมั่นใจว่าภาพในวันวานจะเกิดขึ้นอีกครั้ง แฟนคลับยังคงคิดถึงและติดตาม รอคอยดีทูบีอยู่ “ที่เขาพูดๆ กันนะครับ แฟนคลับของดีทูบีเป็นช่วงที่เหมือนเป็นอีกเจนหนึ่งของการตามศิลปิน รากฐานวิธีการของการตามศิลปิน ที่ทุกวันนี้เรียกว่าติ่ง แต่ว่านี่เป็นอีกเจนหนึ่ง เป็นการพัฒนาอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กลุ่มเหล่านั้นก็จะแวะไปนู่นบ้างนี่บ้าง เกาหลีบ้าง เอเอฟ เดอะสตาร์บ้าง แต่การตามครั้งแรกของเขาเกิดจากการตามดีทูบี เราก็ดีใจ แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้ว”

ในตอนนั้นอัลบั้มดีทูบีขายได้เป็นล้าน โฆษณาเข้ามาเป็นสิบ รายการดังๆ เชิญออกรายการ มีแฟนคลับตามอย่างล้นหลามจนทะลักสตูดิโอ แม้กระทั่งของที่ระลึกสะสมทั้งตลับเหล็ก พัด ร่ม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ที่พิมพ์ลายดีทูบีขายเกลี้ยงทุกแบบ ไม่มีใครไม่หันมาสนใจปรากฏการณ์ดีทูบี แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อ “บิ๊ก” หนึ่งในสมาชิกประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งตกลงไปในคูน้ำ แฟนคลับร่ำไห้ระงม เกิดปรากฏการณ์พับนกกระดาษเพื่ออธิษฐานวิงวอนให้บิ๊กฟื้นกลับคืนมา ทว่าบิ๊กก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งไว้เพียงรอยจำ...

ในวงการบันเทิง จึงเหลือเพียง 2 หนุ่ม แดนบีม ที่ยังโลดแล่น มุ่งมั่นสานฝัน ทำงานที่รักกันต่อไป แม้จะถูกเรียกขานว่า แดน วรเวช บีม กวี ทว่าลึกๆ แล้ว ทั้งคู่ยังมีความสุขกับคำว่า แดน ดีทูบี บีม ดีทูบี และยังคิดถึง บิ๊ก ดีทูบี เสมอ

คิดถึง ‘ดีทูบี’ ในวันนี้มี ‘แดน-บีม’

 

ในวันจัดแถลงข่าวคอนเสิร์ต “คิดถึง D2B LIVE Concert 2014” ซึ่งจะแสดงในวันที่ 2 พ.ย. ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี แฟนคลับที่วันนี้อยู่ในวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานได้ตามไปให้กำลังใจอย่างล้นหลาม แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยว (เทียบกับอดีต) แต่ก็ส่งพลังให้เห็นถึงปรากฏการณ์ดีทูบีในวันวานได้

บีม : “ถึงตอนนี้ดีทูบีก่อตั้งมา 13 ปีแล้ว จริงๆ เราอยากจัดคอนเสิร์ตตั้งแต่ 10 ปีแล้ว จนพอมาปี 11 ก็อยากจัด จนมาปีที่ 13 ลัคกี้นัมเบอร์ครับ”

แดน : “คอนเสิร์ตนี้เกิดขึ้นได้เพราะหลายๆ ฝ่ายครับ เราก็อยาก อาร์เอสก็อยาก และผมเชื่อว่าแฟนๆ ดีทูบีก็อยาก ซึ่งจุดใหญ่ที่สุด คือแฟนๆ ดีทูบีที่เรียกร้องเข้ามา คอนเสิร์ตครั้งนี้เราจะได้นึกถึงพี่บิ๊กด้วยกันครับ แต่ก็อยากจะบอกเอาไว้ว่า คอนเสิร์ตดีทูบีเราจะคิดถึงกันในแบบมีความสุขนะครับ เราไม่อยากให้ทุกคนต้องเศร้า เรามามีความสุขร่วมกัน เพราะว่าในวันที่เป็นดีทูบี เราก็มีความสุขกันมาก”

บีม : “การกลับมาครั้งนี้เราจะได้เห็นภาพความสุขความทรงจำเก่าๆ ของภาพคอนเสิร์ตดีทูบีในอดีต อาจจะต้องมีเสียน้ำตาบ้าง แต่ดีทูบีในอดีตก็เป็นวงที่ดราม่าอยู่แล้ว (หัวเราะ) คอนเสิร์ตทุกครั้งเนี่ย ด้วยความที่เราสนิทกัน เราอิน แล้วเวลาเรามีความสุข เราร้องไห้ตั้งแต่คอนเสิร์ตแรกๆ ไม่มีเรื่องอะไร กอดคอกันร้องไห้ตลอด คุณไม่ต้องมาคาดหวังว่ามันจะดราม่า มันดราม่าอยู่แล้ว มันรู้สึกแบบว่าอิ่มใจ คือไม่ต้องมีเรื่องราวของการที่เราเสียเพื่อนไป คุณไม่ต้องมาร้องไห้กับอะไรพวกนี้ คุณมาร้องไห้กับความสุขความประทับใจของเราสามคน ผมจะมีความสุขมากแล้วบิ๊กก็จะมีความสุขมาก”

คิดถึง ‘ดีทูบี’ ในวันนี้มี ‘แดน-บีม’

 

แดน : “ซึ่งบางคนบอกว่า เอ๊ะ ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ทำไมต้องเป็นช่วงนี้ สร้างภาพหรือเปล่า คือไม่อยู่ตรงนั้นไม่รู้หรอกครับว่าความรู้สึกเป็นยังไง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ทีมงานบอกว่าพูดไรก็พูด พูดถึงแฟนเพลง พูดถึงซึ่งกันและกัน แล้วอยู่ดีๆ ทุกคนทั้งฮอลล์หยุดฟังเรา เหลือเราสามคนที่วันนี้มายืนอยู่จุดนี้กันได้ยังไงวะเนี่ย จากที่เป็นเด็กวิ่งเล่นกัน ยังไม่รู้อนาคตกันเลยว่าจะได้ออกอัลบั้มกันไหม วันนี้มาอยู่จุดนี้ มันเหมือนพวกเราสร้างกันขึ้นมา ยากมากกว่าจะมาเป็นดีทูบี”

หลังจากปิดตำนานดีทูบี กลายมาเป็นศิลปินดูโอ “แดนบีม” ในที่สุดทั้งคู่ก็หันหลังให้กับงานเพลงมุ่งสู่งานแสดงอย่างเต็มตัว

ผู้น้อง แดน นอกจากทำงานเบื้องหน้าแล้วยังทำงานเบื้องหลัง ทั้งภาพยนตร์และละคร ไหนจะมีงานเขียนหนังสือ “เพิ่งปิดกล้องหนังไปเรื่อง The one ticket ตัวพ่อ...เรียกพ่อ จะเข้าโรงช่วงปลายปีนี้ และกำลังเขียนบทภาพยนตร์อยู่ คาดว่าจะเปิดกล้องช่วงปลายปี งานนี้ทำร่วมกับพี่ป๋อง เป็นโปรเจกต์เดอะช็อค สิ้นปีนี้ก็จะเปิดโปรเจกต์หนังสือที่เขียนเอง จริงๆ ผมชอบร้องเพลงที่สุด เพราะมันเป็นงานที่เราใฝ่ฝันมาแต่เด็กว่าเราอยากทำ แต่ไม่ชอบร้องเพลงคนเดียว คือชอบร้องหลายๆ แบบดีทูบีครับ”

ผู้พี่ บีม ก็หันมาเอาดีทางการแสดง ทว่างานที่ทำแล้วชอบที่สุดก็คือร้องเพลง “ผมก็ชอบร้องเพลงครับ มันสนุกที่สุด มันเป็นอะไรที่แบบคีพแอนด์เทก (Keep And Take) คุณคีพไปผมเทกมาเลย คือแบบร้องเพลงเขาร้องกลับมาเลย พูดไปเขากรี๊ดกลับมาเลย คือแบบมันได้เดี๋ยวนั้นเลย มันปุ๊บปั๊บอ่ะ แล้วมันเป็นตัวเราเอง ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นใครเลย มันเจ๋งมาก”

คิดถึง ‘ดีทูบี’ ในวันนี้มี ‘แดน-บีม’

 

13 ปีในวงการบันเทิง วันนี้ แดนบีม ได้เห็นศิลปินนักแสดงเกิดใหม่และร่วงดับไป แต่สองหนุ่มยังอยู่ได้และมีการตอบรับที่ดี เพราะพวกเขาเกิดการเรียนรู้และมีการพัฒนา

แดน : “วงการบันเทิงมันเป็นการทำงานที่มันได้ให้แล้วก็ได้รับ ให้ในเรื่องของความรู้สึกดีๆ กับคน แล้วเราก็ได้รับความสุขนั้นกลับคืนมา ได้ทำงานการกุศลที่เป็นผู้นำในเรื่องของการที่จะจุดประเด็นอะไรเพื่อสังคมเราก็ทำได้ มันก็เป็นวงการที่ดี ถ้าเราอยู่แบบถูกต้อง ผมจะไม่ค่อยหลุดโมโหเลย หลุดน้อยมาก เพราะว่ามันผ่านมาเยอะกลายเป็นเราเข้าใจมากขึ้น แล้วยิ่งผมทำงานเบื้องหลังด้วย ผมจะรู้เลยว่าการที่บางอย่างมันช้า บางอย่างมันไม่เป็นไปตามสเต็ป ตามเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะอีเวนต์ งานละคร มันต้องเกิดอะไรสักอย่างกับเบื้องหลัง แต่ผมจะหลุดเมื่อมีการพูดจาไม่ดีใส่ผม อย่างนี้ผมหลุดแน่”

บีม : “ผมคิดว่าแต่ละสังคมมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป คนที่ปรับตัวได้เก่งที่สุดคือคนที่จะอยู่รอด จริงๆ แล้วบางทีเราต้องเปิดโลกของเรา ผมเป็นคนที่ค่อนข้างปิด อยู่กับตัวเอง แต่ถ้าทำอย่างนั้นคุณจะไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งเรามาอยู่ตรงนี้ เราลองเปิดดู ไปลองดูก่อน ถ้าเราไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เราก็อยู่ของเรา ก็อาจจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี แต่อาจจะไม่ได้ลงลึก ทำงานในวงการนี้ผมคิดว่ามันมีบางส่วนที่ต้องเสียสละอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่สาระสำคัญ สำหรับผมนะ พูดตรงๆ คือไม่ใช่สิ่งที่เราให้ไม่ได้”

แดน : “ทุกวันนี้ผมเห็นพี่บีมถ่ายรูปกับเจมส์จิ ถ่ายรูปกับนักแสดง ผมยังตกใจเลย และก็ดีใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่บีมจะถ่ายรูปต้นไม้ ถ่ายรูปคู่กับหมาแมว (หัวเราะ)”

แม้วันนี้ “ดีทูบี” จะเหลือเพียงสอง แต่ความทรงจำมากมายที่เคยมีร่วมกันในวันที่เป็นดีทูบี เชื่อว่าในวันคอนเสิร์ตภาพเหล่านั้นจะทำให้ความทรงจำกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง