สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘งาน’ ที่รัก
งานอาจเป็นส่วนใหญ่ในชีวิตของคนหลายๆ คน และอาจเป็นส่วนเล็กๆ ในชีวิตของคนอีกจำนวนมาก
โดย...หนูดี – วนิษา เรซ
งานอาจเป็นส่วนใหญ่ในชีวิตของคนหลายๆ คน และอาจเป็นส่วนเล็กๆ ในชีวิตของคนอีกจำนวนมาก
คนบางคนโชคดีหางานที่รักเจอและได้ทำงานนั้นทุกๆ วัน ส่วนคนบางคนต้องเหนื่อยใจทำงานที่ไม่ได้รักไปเรื่อยๆ และค่อยๆ ค้นหาตัวเองไประหว่างนั้นว่าเราเหมาะกับงานแบบไหนกันแน่
คนอีกหลายๆ คนไม่ได้มองว่างานเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตขนาดนั้น อาจเพราะมีสิทธิเลือกได้ว่าไม่ต้องทำงานก็ได้ หรือถึงแม้จะต้องทำงานแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความเป็นตัวตนของตัวเองถูกตีความผ่านงานสักเท่าไหร่ เพราะเรามีตัวตนด้านอื่นที่ชัดเจนกว่าด้านงาน เช่น ด้านครอบครัว งานอดิเรก หรืองานการกุศล
แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว การทำงานอะไร ทำงานที่ไหน ทำงานแบบไหน ทำงานกับใคร ทำงานแล้วได้เงินเท่าไหร่ ทำงานแล้วเหมาะกับตัวเราไหม ทำงานแล้วได้เดินทางไหม ทำงานแล้วชื่อตำแหน่งเรียกว่าอะไร ทำงานแล้วมีเครื่องแบบสวยๆ ใส่ไหม ทำงานแล้วดูอินเตอร์ไหม และอีก ฯลฯ นั้น มีความสำคัญสูงมากกับความเป็นตัวตนของตัวเอง เพราะในโลกของคำว่า “ผู้ใหญ่”
ที่เรียนจบแล้วและไม่ได้ขอเงินพ่อแม่ใช้แล้วนั้น “งาน” คือ สิ่งที่กำหนดความเป็นตัวเราค่อนข้างชัดเจนที่สุดเลยทีเดียว
ในเมื่องานสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ขนาดนี้ แล้วทำไมคนจำนวนมากจึงไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
มีเซอร์เวย์หนึ่งที่ถามคนทำงานในสหรัฐอเมริกาว่า “คุณมีความสุขกับงานที่ทำไหม” ปรากฏว่ามีเพียง 20% เท่านั้นที่ตอบว่า “มีความสุข” ซึ่งมันเท่ากับว่าในคนทำงาน 5 คนนั้น มีถึง 4 คนที่ไม่มีความสุขกับงานที่ตัวเองทำ
จริงหรือนี่
ถ้าจริงก็นับว่าน่ากลัวทีเดียว แต่จะให้ดีกว่านี้หนูดีอยากเหลือเกินที่จะถามคนทำงานทุกๆ คนในเมืองไทยและในอเมริการวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเพื่อหาค่าตามความเป็นจริงเลยว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้มีคนสักที่คนที่ทำงานที่รักด้วยใจที่เป็นสุข และมีอีกสักกี่ล้านคนกันที่ทำไปแกนๆ เพียงเพื่อให้ดำรงชีวิตด้านการเงินต่อไปได้
แม้จะไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ก็ตาม
แต่ในชีวิตจริงเราคงไปถามคนเป็นพันล้านคนไม่ได้และการเซอร์เวย์ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้บ้าง และภาพของคนจำนวนมากมหาศาลที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ตลอดทั้งชีวิตของเขา ทำงานในสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์ความเป็นตัวตนแท้จริงของตัวเองนั้น ฟังแล้วน่าเศร้าจริงๆ ค่ะ
แต่ทั้งนี้ในทางกลับกัน หากเราได้มีโอกาสไปถามคนอเมริกันหรือคนญี่ปุ่นช่วงหลังสงคราม ว่าการที่เขาเพียงมีงานทำนั้นโอเคไหม เพียงพอไหม... ซึ่งจะเป็นงานอะไรก็ได้ สำหรับพวกเขาแล้วแค่นั้นก็เพียงพอที่เขาจะขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ครอบครัวไม่ต้องอดอยาก สามารถมีอาหารและมีหลังคาให้พักอาศัยได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสังคมเปลี่ยนไป “งาน” ก็ไม่ใช่สิ่งที่นำมาซึ่งรายได้และความอยู่รอดแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันรวมถึงอัตลักษณ์ของเรา ความเป็นตัวตนที่เราอยากโชว์ให้โลกใบนี้เห็นว่าเราเป็นใคร เราเชื่อมั่นในอะไรและเราอยากทำอะไรให้โลกใบนี้
คนหลายๆ คนที่มีฐานะพอที่จะไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่เลือกที่จะทำนั้นมีการให้เหตุผลกันหลากหลายทีเดียว หนูดีลองไปถามมาได้คำตอบน่ารักๆ เช่น...
1.พอไม่ทำงานแล้วเหมือนความรู้ที่เรียนมาไม่มีประโยชน์อะไรกับใครเลย เสียดายความรู้ และเกรงใจโลกด้วย เหมือนเราหายใจทิ้งไปวันๆ
2.แม้จะได้เดินทางท่องเที่ยวเยอะ แต่พอไม่ทำงานแล้วเหมือนกับชีวิตไม่มีเป้าหมาย เหมือนหาความสุขไปวันๆ ในที่สุดแม้จะไม่ต้องทำงานแต่เลือกทำดีกว่า เพราะพอทำงานแล้วได้หยุดไปเที่ยว เหมือนการไปเที่ยวนั้นมีความหมายและมีคุณค่าขึ้นอีกมากมาย
3.พอไม่ทำงานแล้วเหมือนหลุดจากวงโคจรของเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน เพราะเพื่อนๆ ทุกคน ต่างทำงานกันทั้งนั้น มีเราไม่ทำอยู่คนเดียว รู้สึกแปลกๆ
4.พอไม่ทำงานแล้ว ใครถามว่า “ทำอะไร” แล้วไม่รู้จะตอบอย่างไร อายด้วย รู้สึกเหมือนเป็นคนไม่มีแก่นสาร เลยทำงานดีกว่า อย่างน้อย คนถามจะได้มีอะไรไปตอบเขาหน่อย
แต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกทำงานของตัวเองแตกต่างกันไป มาลองเช็กดูหน่อยไหมคะว่า งานของเราเป็นประเภทแบบไหนกันแน่
ถ้าจะแยกแบบฝรั่งอเมริกันแยกและจำแนกออกมาอย่างชัดเจน ก็จะเรียกเป็นสามอย่าง คือ
Job – งานที่ทำเพื่อมิติทางการเงินเป็นหลัก ขอให้ได้เงินมาใช้จ่ายเป็นทำหมด จริงๆ แล้วเราแทบทุกคนน่าจะเคยผ่านงานแบบนี้นะคะ เช่น ฝรั่งบางคนอยากเป็นนักแสดงในนิวยอร์ก แต่ยังไม่ได้เป็นเพราะต้องออดิชั่นต้องแคสต์ ระหว่างนั้นก็เป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารพอให้เลี้ยงตัวเองไปได้ก่อน พอได้งานในฝันก็ค่อยหยุดเป็นสาวเสิร์ฟหรือหนุ่มเสิร์ฟ
Career – อาชีพที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แล้วอย่างดี ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน กิจกรรมที่ได้ทำแล้วตอบโจทย์ความเป็นตัวตนของเรา
Calling – ถ้าในระดับสุดท้ายนี้ นอกจากตอบทุกโจทย์แล้ว ยังตอบโจทย์ทางด้านมิติของจิตวิญญาณด้วยว่า ทำงานนี้แล้วอิ่มเอมใจ รู้สึกอบอุ่นในใจ เข้านอนได้สบาย ถ้าวันไหนตายไป ก็ตอบตัวเองได้ว่าคุ้มแล้วชาติหนึ่งที่เกิดมาเป็นคน ได้ทำในสิ่งนี้ ไม่มีอะไรติดค้าง รู้สึกว่าได้เจอสิ่งที่ใช่และได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีไปอย่างเต็มที่แล้ว
แต่ในส่วนสุดท้ายนี้ บางคนอาจได้เงินมากหรือเป็นงานที่ไม่ได้ทำไปเพื่อเงินเลย ทั้งนี้แล้วแต่โจทย์ชีวิตของแต่ละคนที่ตั้งใจไว้ไม่เหมือนกัน
ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ก็คงต้องขอเล่าเรื่องสั้นๆ ที่แปลมาและพบว่าน่ารักดีค่ะ
“ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านคนงานสามคนที่กำลังเรียงอิฐที่ข้างอาคารที่กำลังก่อสร้างแห่งหนึ่ง เธอถามคนงานคนแรกว่า “ทำอะไรอยู่” เขาตอบว่า “ก็ทำงานเรียงอิฐอยู่” เธอเดินผ่านไปถามคนที่สองด้วยคำถามเดียวกัน คำตอบคือ “ฉันเป็นช่างก่อสร้างมีฝีมือและฉันกำลังค่อยๆ เรียงอิฐแต่ละก้อนอย่างบรรจงอยู่” แต่เมื่อเธอเดินผ่านไปถามคนที่สาม
คำตอบที่กลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ คือ “ฉันกำลังสร้างโบสถ์ที่สวยที่สุดในโลกอยู่ตอนนี้”
ทำงานเดียวกัน เวลาเดียวกัน แบบเดียวกัน แต่คิดและรู้สึกกันคนละแบบเลย
งานของเราเป็นงานแบบไหนคะ? และสัปดาห์หน้ากลับมาลองทำเทสต์กับหนูดีดูว่า เราจะตั้งคำถามตัวเองแบบไหนถึงจะได้เจองานที่รัก


