สราวุธ อินทรพรหม บนเส้นทาง...หนังทางเลือก
จากเด็กนิเทศศาสตร์ ภาพยนตร์ สู่เส้นทางหนังอินดี้หรือหนังทางเลือก ของ “สราวุธ อินทรพรหม” หรือ “โน้ต”
โดย...กองทรัพย์ /ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
จากเด็กนิเทศศาสตร์ ภาพยนตร์ สู่เส้นทางหนังอินดี้หรือหนังทางเลือก ของ “สราวุธ อินทรพรหม” หรือ “โน้ต” ที่เริ่มต้นจากเป็นเด็กกองถ่าย เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ ทำหนังฟอร์มเล็กฉายในโรงภาพยนตร์เล็กๆ เดินสายประกวดในต่างประเทศบ้าง และส่วนใหญ่หนังของเขาก็มักจะเข้าตาชาวต่างประเทศเสียด้วยสิ แต่ก็ดูเหมือนชื่อของสราวุธจะเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนดูหนังเฉพาะกลุ่มมากกว่า
“ความฝันในตอนเด็กของผมคิดว่าคงเหมือนกับผู้กำกับคนอื่นๆ คือเป็นเด็กที่ชอบดูหนังมากๆ การที่เราได้ดูหนังของคนอื่นแล้วประทับใจมากๆ จนอยากมีหนังของตัวเองฉายในโรงหนังบ้าง ในตอนเด็กเวลาเราดูหนังแล้วเห็นปฏิกิริยาของคนดูที่ตอบสนองกลับมากับหนัง คิดว่าและถ้าหนังของเรากำลังฉายอยู่แล้วคนดูจะมีปฏิกิริยาอย่างไร มันคงเป็นอะไรที่ตื่นเต้นไม่น้อย และประกอบกับตัวเองเป็นคนชอบแต่งเรื่อง มีเรื่องราวในหัวที่อยากจะเล่าอยู่มากมาย ก็เลยอยากจะทำอาชีพนี้ดู
“เริ่มต้นจากเรียนด้านนิเทศศาสตร์ จากนั้นก็ไปฝึกงานในกองถ่าย เรียนรู้การทำงานอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็มาเขียนบทหนังให้กับพี่ปื๊ดธนิตย์ จิตนุกูล ทำอยู่ประมาณ 3 ปี และการที่เราทำงานในกองถ่ายมาก่อนก็พอจะมีคนรู้จักพอสมควร ก็เลยรวมตัวกับคนรู้จักเปิดกล้องหนัง ทำหนังอินดี้เล็กๆ ขึ้นมา เรื่องแรกคือ บอยเฟรนด์ (BOYFRIEND) ฉายเฉพาะที่โรงเฮาส์ อาร์ซีเอ ซึ่งถือว่าเป็นประตูบานแรกในหน้าที่ผู้กำกับของผม จากนั้นก็ทำหนังฟอร์มเล็กส่งในเทศกาลต่างๆ และฉายโรงเล็กเหมือนเดิม จนได้รับโอกาสให้กำกับหนังโรงเรื่องหล่อลากไส้”
เนื่องจากกระบวนการทำหนังเข้าโรงเริ่มยากขึ้นทุกที อาจจะเพราะต้องใช้ต้นทุนที่มากขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ ประกอบกับคนดูหนังน้อยลง ค่ายเล็กค่ายน้อยจึงค่อยๆ ล้มหายตายจากไปเหลือน้อยลงเช่นกัน ดังนั้นสราวุธจึงมองหาลู่ทางใหม่ๆ เพื่อเป็นสื่อในการถ่ายทอดภาพยนตร์ของเขาโดยใช้ทุนที่น้อยลงโดยไม่ต้องพึ่งพาค่ายใหญ่ คำตอบจึงเป็นการทำหนังขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจสำหรับเขา
“สถานการณ์การทำหนังในประเทศไทยตอนนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ ทำเล็กมากๆ เพื่อป้องกันการขาดทุน กับสอง คือ ทำบิ๊กโปรเจกต์ไปเลย แต่ถ้าลงทุนแบบกลางๆ กั๊กๆ เสี่ยงที่จะขาดทุนสูง เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกทำหนังเล็กๆ เพราะถ้ามัวแต่รอคิวกำกับหนังโรงผมคงต้องรอนาน เพราะผู้กำกับมีเป็นร้อย แต่หนังเปิดปีหนึ่งแค่หลักสิบเรื่อง ผมเอาทุนรอนของตัวเองมาลงทุนทำหนังฉายในอินเทอร์เน็ตเป็นหนังชุดใน G Thai movie เป็นเว็บไซต์ที่ฉายหนังเฉพาะกลุ่ม (ชายรักชาย) ซึ่งจะดูได้ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น ใช้ทุนไม่เยอะมาก แต่ได้เสียงตอบรับดี เราไม่ต้องใช้งบในการประชาสัมพันธ์มากมายเหมือนหนังโรง พอสะสมรายได้จากหนังอินเทอร์เน็ตแล้ว ก็เอาทุนอันนั้นมาทำหนังใหญ่ฉายในโรง เป็นหนังฟอร์มเล็กฉายไม่กี่โรงเหมือนเดิม”
เมื่อแนวทางหนังที่ฉายในอินเทอร์เน็ตเจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มชายรักชาย หนังใหญ่เรื่องใหม่ของเขาจึงอยากนำเสนอไอเดียหนังชายรักชายในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไป ทั้งแกนเรื่องที่นำเสนอ สถานที่ถ่ายทำ และเงื่อนไขของตัวละครต้องเผชิญ โดยใช้ชื่อว่า “ครูและนักเรียน” ใบปิดหนังได้เรตติ้ง 18+ ซึ่งผู้กำกับอย่างสราวุธบอกว่านี่คือโอกาสในการสื่อสารเนื้อหาที่อยากนำเสนอ
“ผมว่าปัจจุบันหนังแนวหนังเกย์ หนังวาย หรือการจิ้นเพศเดียวกันสร้างออกมาค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นมุมมองของเด็กวัยรุ่น หรือการค้นพบว่าตัวเองชอบผู้ชาย แต่ด้วยวัยของผมเป็นวัยทำงาน ก็อยากจะเล่าเรื่องในมุมมองของผู้ใหญ่ คือ ปัญหาการใช้ชีวิตคู่ของชายรักชาย ที่เล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าอะไรคือพฤติกรรมที่จะทำให้ชีวิตคู่ของคนกลุ่มนี้ไม่ราบรื่น อยากนำเสนอปัญหาว่าอะไรที่ทำให้คู่รักเกย์อยู่ด้วยกันไม่ยืด เราอยากสะท้อนภาพเพื่อให้คนรักกันนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่ของตัวเองได้
“โดยนำเสนอผ่านหนังเรื่องครูและนักเรียน ที่เล่าผ่านคู่รักเกย์ที่แต่งงานมา 5 ปี แต่มีเหตุให้อยากนอกใจคู่ของตน แต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องหน้าที่การงาน ศีลธรรมจรรยา เป็นภาพยนตร์แนวจิตวิทยา ดราม่า และลงลึกถึงสภาพจิตใจของชายรักชาย เราเลือก จ.กาญจนบุรี เป็นโลเกชั่น บ้านเราภาพสวย ถ้าเอาไปฉายในต่างประเทศ ชาวต่างชาติน่าจะชอบ ซึ่งตอนนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ส่งไปยังเทศกาลหนังของต่างประเทศหลายแห่ง กำลังรอประกาศผล ไม่คาดหวังว่าจะได้รางวัล ขอแค่ได้ฉายโชว์ก็พอแล้ว”
ผ่านงานมาทั้งหนังสั้นหนังยาว เราจึงถามถึงความยากง่ายของงานที่ผ่านมาว่าแตกต่างกันอย่างไร สราวุธ บอกว่า “ถ้าเป็นหนังที่มีนายทุน ผู้กำกับโฟกัสสิ่งที่อยู่หน้ากองถ่ายอย่างเดียวไม่เหนื่อยเรื่องธุรกิจ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งสำหรับผมมองว่าเราอาจจะนำเสนอสิ่งที่เราต้องการได้ไม่ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นหนังที่เราเป็นนายทุนเอง ลงทุนทำเอง ก็สามารถนำเสนอสิ่งที่อยากเล่าได้เต็มที่ แต่ก็จะเหนื่อยทั้งเรื่องหาเงินและการติดต่อธุรกิจ”
“อยากฝากถึงน้องๆ ที่อยากเป็นผู้กำกับหนัง ผมว่าเดี๋ยวนี้เทคนิคต่างๆ มีเยอะ และหลักสูตรเกี่ยวกับภาพยนตร์ก็ไม่ต่างกันมาก แต่ผู้กำกับที่จะทำให้คนดูเชื่อและอินไปกับสิ่งที่เขาเห็นบนจอ จะต้องขึ้นอยู่กับการสั่งสมประสบการณ์ และมุมมองที่เขามีต่อโลก ผมว่าคุณสมบัติแรกที่ต้องมีคือต้องเป็นคนเข้าใจโลก เข้าใจถึงชีวิตของคน
“การที่จะทำให้คนดูเชื่อได้ ผู้กำกับต้องเชื่อ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้เกิดจากการสั่งสม มีมุมมองด้านศิลปะ เป็นคนช่างสังเกต คิดตลอดเวลา และมีจินตนาการ คือเขาต้องเป็นคนที่มีภาพในหัวตลอดเวลา คิดอะไรเป็นหนังได้เสมอแม้แต่เวลาที่เราไม่ได้ทำหนัง ส่วนจะอยู่ในที่ทางแบบไหน วันเวลาและสไตล์จะพาคุณไปยังจุดหมายเอง” สราวุธ กล่าว
Profile
ชื่อนามสกุล สราวุธ อินทรพรหม
การศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ผลงานด้านการกำกับภาพยนตร์
ปี 2556 ภาพยนตร์ “Tiger and Wolf หล่อลากไส้”
ปี 2554 ภาพยนตร์ “Cinderella หนังผี”
ปี 2554 ภาพยนตร์ “ซุปตาร์สตอร์เบอรี่”
ปี 2553 ภาพยนตร์ “Snow White ตายทั้งกลม”
ปี 2552 ภาพยนตร์ “เซ็งเป็ด” เข้าฉายลิโด้ และเทศกาล Asian Queer Film and Video Festival Japan 2010
ปี 2551 ภาพยนตร์ “CROC” ได้รางวัล Jury Prize เทศกาล World Film of Bangkok
ปี 2550 ภาพยนตร์ “BOYFRIEND” เข้าฉาย HOUSE RCA และเทศกาล Asian Queer Film and Video Festival Japan 2009


