posttoday

ลายแทงแห่งความสำเร็จ (1)

05 สิงหาคม 2557

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

1.มีใจรัก

2.พากเพียรทำ

3.จดจำจ่อจิต

4.วินิจวิจัย


อธิบายลายแทง

อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จและคนที่ทำอะไรก็พบแต่ความล้มเหลว คำถามนี้

หากเราไปถามหมอดู ท่านก็คงตอบว่าเป็นเพราะ “พื้นฐานดวง” ของคนเรามันต่างกัน คนที่ทำอะไรก็สำเร็จ เป็นเพราะ “ดวงดี” คนที่ล้มเหลวก็เพราะ “ดวงไม่ดี” หากไปถามพระบางรูป ท่านก็อาจตอบว่า เป็นเพราะ “คนเราทำบุญมาไม่เหมือนกัน” คนที่ทำบุญไว้ดี จับทำอะไรก็สำเร็จ คนที่ทำบุญมาน้อย ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ

ครั้นไปถามซินแสท่านก็อาจจะตอบว่า เป็นเพราะ “ฮวงจุ้ย” คือทำเลที่ประกอบกิจการนั้นเป็นปัจจัยสำคัญ ใครทำธุรกิจในย่านที่มีฮวงจุ้ยดีก็สำเร็จง่าย ใครอยู่ในจุดที่ฮวงจุ้ยไม่ดี ก็สำเร็จยาก แต่หากไปถามสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ระดับตำนานอย่าง โทมัส อัลวา เอดิสัน ท่านก็อาจตอบว่า เป็นเพราะ “คุณยังพยายามน้อยเกินไป” (ท่านเป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า “อัจฉริยะภาพเป็นผลมาจากความวิริยะอุตสาหะ 99% พรสวรรค์มีส่วนเพียง 1%)

แต่หากเรานำคำถามนี้ไปทูลถามพระพุทธองค์ผู้ทรงถึงพร้อมด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ พระองค์ก็คงจะตอบว่า เหตุผลที่คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จก็เพราะเขาดำเนินตาม “อิทธิบาท” (มรรควิธีสู่ความสำเร็จ) 4 ประการ ส่วนคนที่ล้มเหลวก็เพราะเขายังไม่รู้จักอิทธิบาทดีพอ หรือบางทีอาจจะรู้จัก แต่ไม่เคยนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็เลยได้แต่นั่งมองหรือได้แต่ชื่นชมความสำเร็จของคนอื่น

“อิทธิบาท” แปลว่า “มรรคสู่ความสำเร็จ” หรือ “วิถีสู่ความสำเร็จ”

ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าในเรื่องใดก็ตาม หากดำเนินตามหลักอิทธิบาทอย่างครบถ้วนแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จอย่างที่ปรารถนาทั้งสิ้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับตำนานของโลกอย่างวงดนตรี เดอะบีเทิลส์ อัจฉริยะแห่งวงการไอทีอย่าง บิล เกตส์ และสตีฟ จ็อบส์ หรือนักธุรกิจผู้สร้างตัวด้วยกาแฟสตาร์บัคส์ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกกว่า 1.7 หมื่นสาขา อย่าง ฮาเวิร์ด ชูลทส์ หรือแม้กระทั่งอดีตนักแสดงชื่อดังอย่าง บรูซ ลี อดีตนักร้องอัจฉริยะอย่าง ไมเคิล แจ็กสัน บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จเพราะปฏิบัติตามหลักอิทธิบาทไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมทั้งสิ้น

อิทธิบาทมี 4 ประการ เราจึงเรียกสั้นๆ ว่า “อิทธิบาท 4” 1.มีใจรัก หรือรักในสิ่งที่ทำ (Passion) 2.พากเพียรทำ (Effort) 3.จดจำจ่อจิต (Focus) 4.วินิจวิจัย (Think Different)

พระพุทธเจ้า คือ บุคคลต้นแบบที่ทรงถึงพร้อมด้วยอิทธิบาท 4 ประการ จากพุทธประวัติเราจะพบว่าพระองค์ทรงมีใจใฝ่รักในโพธิญาณ ปรารถนาแต่จะค้นหาหนทางแห่งการดับทุกข์เพื่อยุติวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่รู้จบสิ้น แรงปรารถนานี้เข้มข้นรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้พระองค์ต้องทรงหนีออกมาจากพระราชวังอันอุดมไปด้วยความมั่นคั่งพร้อมด้วยโลกิยสมบัติทั้งปวง (=ฉันทะ/ธรรมฉันทะ/มีใจรัก)

ทรงพากเพียรพยายามลองผิดลองถูกศึกษาค้นคว้าอยู่ไม่น้อยกว่า 6 ปี ทรงผิดหวัง ทรงท้อแท้ ทรงลำบากตรากตรำอย่างหนักหนาสาหัสตลอดเส้นทางของการเพียงฝึกหัดปฏิบัติตนด้วยตนเอง หรือด้วยการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์คนอื่นในยุคนั้น แต่ไม่ว่าจะลำบากตรากตรำเพียงไรก็ไม่เคยล้มเลิก ยังคงเพียรพยายามต่อไปให้ถึงที่สุด

วันหนึ่ง เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ทรงแนะนำเหล่าพุทธสาวกว่า ที่พระองค์ทรงบรรลุถึงสัมมาสัมโพธิญาณได้นั้นก็เพราะคุณธรรม 2 ประการ คือ (1) การไม่อิ่ม ไม่พอ ในคุณงามความดี หมายความว่า มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ลุถึงความดีงามสูงสุดให้ได้ ถ้าไม่ถึงที่สุดก็จะไม่หยุดกลางคัน ลักษณะของธรรมข้อนี้คงจะคล้ายกับคนสมบูรณ์แบบนิยม หรือ Perfectionist ที่เมื่อได้ลงมือทำอะไรก็ตาม ก็ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงจุดที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุดให้ได้ (2) ไม่ระย่อท้อถอย ไม่หันหลังกลับ เหมือนคนเดินขึ้นเขา หากไม่ลุถึงตาน้ำก็จะไม่หยุดเดินไม่หยุดการค้นหา หากไม่สมหวังดังประสงค์ก็ยินดีตายเสียดีกว่า ดังที่พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธานก่อนจะตรัสรู้เอาไว้ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เรามีความเพียรไม่ถอยกลับ เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยมนสิการ (ใส่ใจ) ว่า ‘เลือดเนื้อในกายของเราทั้งหมดจะเหือดแห้งไปก็ช่างเถิด เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที หากเรายังไม่ได้บรรลุผลที่มุ่งหมายไว้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังและความบากบั่นของลูกผู้ชาย จะหยุดความเพียรเสียเป็นไม่มี’” (=วิริยะ/พากเพียรทำ)

ระหว่างที่ทรงมุ่งมั่นเพียรพยายามหาหนทางเพื่อที่จะบรรลุถึงสัมมาสัมโพธิญาณนั้น แม้จะมีหลายครั้งที่ทรงท้อพระทัย หรือมีหลายหนที่ทรงได้รับข้อเสนอให้เบี่ยงเบนไปสู่เส้นทางสายอื่น (เช่น คณาจารย์ 2 ท่าน เสนอให้เป็นอาจารย์ร่วมสำนัก พระเจ้าพิมพิสารเสนอให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีสักครั้งหนึ่งที่จะทรงล้มเลิกความตั้งพระทัยนั้น ไม่ทรงหันเหไปในทิศทางอื่นจากที่เคยตั้งพระทัยเอาไว้ ทรงมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวที่ทรงหมายตาหมายใจเอาไว้เท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ทรงเกาะติดที่เป้าหมาย ไม่ทรงเสียเวลากับสิ่งเร้า สิ่งล่อสองข้างทางแม้แต่น้อย ในคืนสุดท้ายก่อนแต่จะตรัสรู้ พระองค์ถึงกับทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากประทับนั่งลงไปบนอาสนะแล้วไม่บรรลุถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะขอวางชีวิตลงเป็นเดิมพัน กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า หากทำการไม่สำเร็จก็ยินดีตายเสียดีกว่า (=จิตตะ/จดจำจ่อจิต/อุทิศตน)

แต่ในที่สุดด้วยพระปรีชาญาณอันแยบคายที่พระองค์ทรงฝึกหัดพัฒนาตนมาโดยตลอดจนเกิดการตกผลึกอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดคือทางสุดโต่ง สิ่งใดคือทางสายกลาง ผลจากการใช้ปัญญาอย่างแหลมคมจนสามารถแยกแยะวินิจฉัยทำให้จับหลักการสำคัญของจิตตภาวนาได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ ทั้งยังกล้าคิดในวิถีที่ต่างออกไปจากลัทธินิกายของบรรดาครูบาอาจารย์ในยุคนั้น การคิดอย่างแยบคายของพระองค์ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์นั้น เป็นสิ่งที่ทรงความสำคัญมาก ดังจะเห็นว่า กลุ่มนักบวชที่เรียกว่าปัญจวัคคีย์ถึงกับรับไม่ได้เมื่อเห็นว่า พระองค์ทรงเลิกทรมานตน หันกลับมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ ทั้งนี้ เพราะกลุ่มปัญจวัคคีย์ติดอยู่ในชุดความคิดแบบเดิมที่ว่า หนทางตรัสรู้มีอยู่ทรงเดียวคือการทรมานตนเท่านั้น พอพระองค์ทรงคิดต่าง ทำต่างออกไป พวกเขาจึงเลิกติดตามพระองค์ทันที ลักษณะที่เป็นขบถต่อชุดความคิดแบบเดิมนี้ คือ จุดเปลี่ยนและจุดต่างที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งที่ทำให้พระโพธิสัตว์ได้ค้นพบความสำเร็จอัจฉริยภาพในการคิดต่างอย่างนี้มีชื่อเรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” หรือ “การคิดเป็น” ตัวการคิดเป็นนี้ พระพุทธองค์ทรงยกย่องไว้ว่า เป็นธรรมที่มีคุณค่ามากที่สุดประการหนึ่ง ใครก็ตามคิดเป็น ก็เหมือนกับคนคนนั้นมี “แสงเงินแสงทองของชีวิต” เพราะเมื่อคิดเป็น ก็จะแก้ปัญหาเป็น และใช้ชีวิตเป็น ผลจากการคิดเป็น คิดต่าง คิดสร้างสรรค์ จึงทำให้ในที่สุดพระองค์ก็ทรงบรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นปลายทางแห่งการแสวงหาทางจิตวิญญาณของพระองค์โดยสมบูรณ์ (=วิมังสา/วินิจวิจัย/คิดต่าง คิดอย่างสร้างสรรค์)

บุคคลสำคัญหรือไม่สำคัญของโลกที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่ดำเนินอยู่บนวิถีแห่งอิทธิบาท 4 ประการทั้งนั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นต้นว่า ครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุเพียง 18 ปี เลดี้กาก้า ประกาศตัวว่าจะเป็นนักร้องป๊อปสตาร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังล้นฟ้าให้ได้ จากนั้นเธอก็เพียรฝึกหัดพัฒนาตน มุ่งมั่นไล่ตามความฝัน และสามารถสร้างแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์หรือจุดขายของตัวเองออกมา จนกลายเป็นนักร้องป๊อปสตาร์ระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน

บิล เกตส์ หลงใหลในการเขียนโปรแกรม จนยอมตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อไล่ตามความฝัน ต่อมาจดทะเบียนตั้งบริษัทและผลิตนวัตกรรมออกมาสู่ตลาด ทุกวันนี้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก

วงดนตรี เดอะบีเทิลส์ เกิดจากเพื่อนนักเรียนตั้งแต่สมัยมัธยมปลายไม่กี่คนที่จริงจังคลั่งไคล้ใหลหลงในดนตรี รวมตัวกันตั้งวงดนตรีในบ้านเกิด รับเล่นตามผับ ตามร้านอาหาร หรือแม้แต่ไปเล่นฟรีในงานที่ไม่มีค่าจ้างแม้แต่บาทเดียวตลอดคืนยันรุ่งก็ยอม ขออย่างเดียวแค่ได้ทำในสิ่งที่รัก พวกเขาฝึกซ้อมวงไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นชั่วโมง ต่อมาพวกเขาได้กลายเป็นตำนานของวงดนตรีที่ประสบความเร็จมากที่สุดในโลกตลอดกาล

สตีฟ จ็อบส์ หลงใหลในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเด็ก อายุเพียง 21 ปี ก็เริ่มตั้งบริษัทร่วมกันกับเพื่อนเพียงสองคนเพื่อผลิตคอมพิวเตอร์อย่างที่ตัวเองใฝ่ฝัน อายุครบ 30 ปี ถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตั้งมาเองกับมือ แต่ก็ไม่เคยเบี่ยงเบนออกไปจากสิ่งที่ตัวเองรัก ยังคงออกไปตั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์อีกแห่งหนึ่ง อายุ 40 ปี กลับมาสู่บริษัทเดิมเพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ให้กลับมาสู่ความรุ่งโรจน์ โดยเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมภายใต้แนวคิด “Think Different” หรือ “คิดต่าง” จนโลกมีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกอย่างคอมพิวเตอร์แมคบุ๊ก แอร์, แมคบุ๊ก โปร, ไอพอด, ไอโฟน, ไอแพด เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว เขาได้เล่าเส้นทางแห่งความสำเร็จเอาไว้ในสุนทรพจน์อันลือลั่น ซึ่งเขากล่าวไว้ในวันรับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รวมทั้งเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติอีกว่า การที่เขาประสบความสำเร็จได้นั้นก็เพราะ

1.เขาได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักตั้งแต่อายุยังน้อย

2.เขามุ่งมั่นฝึกหัดพัฒนาตนเองไม่หยุดหย่อน ทุ่มเทพัฒนาผลงานร่วมกับทีมวิจัยและวิศวกรเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ดีที่สุดผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจ มุ่งมั่นต่อไปจนถึงที่สุด

3.เขาไม่เคยหันเหความสนใจไปทำสิ่งที่เขาไม่รัก หรือไม่ถนัด

4.เขาคิดต่างออกไปจากความคิด ความเชื่อของคนทั่วไป เช่น เขากล่าวว่าเขาไม่สนใจการทำโฟกัสกรุ๊

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ