นิเวศวิทยาแนวจิตวิญญาณ ทางออกจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม?
โลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) ถือได้ว่าเป็นความ ท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษยชาติ
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ / ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน/ Research Institute for Spiritual EcologyRISE
โลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) ถือได้ว่าเป็นความ ท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษยชาติ จนถึงปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์จะอยู่รอดต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแก้ปัญหาที่ตัวเราเป็นผู้ก่อขึ้น!!!
เสมสิกขาลัย มูลนิธิเสฐียรโกเศศนาคะประทีป เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคม จัดปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ 20 “Spiritual Ecology : นิเวศวิทยาแนวจิตวิญญาณ ทางออกจากวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นไปได้?” โดยศาสตราจารย์ ดร.เลสลี อี.สปอนเซล (Leslie E.Sponsel) นักวิจัย อดีตอาจารย์คณะมนุษยวิทยา และผู้อำนวยการโครงการมนุษยวิทยาแนวนิเวศ (Ecological Anthropology) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐ
สำหรับนิเวศวิทยาแนวจิตวิญญาณ เลสลีเล่าว่า เป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงระหว่างความ เชื่อทางศาสนาจิตวิญญาณกับนิเวศวิทยา ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน มนุษย์แต่ละคนที่มีชีวิตอยู่บนโลก ต้องเคารพชีวิตตัวเอง เคารพชีวิตเพื่อนร่วมโลก หยั่งลึกสู่มโนธรรมสำนึกเพื่อนำทางสู่การพึ่งพาอาศัย ดำรงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และก้าวออกไปสู่ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบข้าง
ตั้งแต่ปี 1990 นิเวศวิทยาแนวจิตวิญญาณได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความพยายามในการตีความไบเบิลใหม่โดยนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหลายคน หนึ่งในนั้นคือ ลินน์ ไวท์ จูเนียร์ ซึ่งถามและตอบตัวเองดังๆ ถึงวิธีที่เรามองดูโลก บทบัญญัติของศาสนาคริสต์ (ธรรมบท) ที่เคยถูกตีความว่าพระเจ้าสร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง สร้างทุกอย่างบนโลกมาให้มนุษย์ใช้ มนุษย์จึงใช้ ใช้ และใช้
“การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ไปจนกระทั่งถึงการเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติอย่างไม่รู้ยั้ง คิด เสี่ยงต่อการทำลายล้างธรรมชาติ และมนุษย์เองที่จะตกเป็นเหยื่อของการทำลายล้างนั้น เราจะมองมันยังไงได้อีก เพราะในคำสอน นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันแล้ว ก็ยังมีบทบัญญัติที่มนุษย์ต้องตระหนักรู้ในคุณค่าต่อธรรมชาติด้วย”
แนวคิดของลินน์ ไวท์ ได้ทำให้ผู้คนฉุกคิด และทบทวนบทบาทของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ โดยเฉพาะหน้าที่ของมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ คำสอนของศาสนามิใช่เพื่อมุ่งแต่เพียงให้มนุษยชาติได้รอด แต่ทุกสรรพสิ่งต้องรอดด้วย มนุษย์จึงมีหน้าที่ต่อธรรมชาติ เป็นหน้าที่ที่โยงไว้ด้วยสายใยแห่งศีลธรรมและจริยธรรมของมนุษย์แต่ละคน
ศ.ดร.เลสลีเล่าว่า ในเรื่องแนวปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่ศาสนาคริสต์ แต่ทุกศาสนาและความเชื่อบนโลก ล้วนมีจุดร่วมเดียวกันในการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติในฐานะของมารดาที่ยิ่งใหญ่ สำหรับพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน นิเวศวิทยาแนว จิตวิญญาณเชิงพุทธที่ชัดเจนที่สุดคือการบวชต้นไม้ ซึ่งทำแพร่หลายในประเทศไทย
“ศาสนาและจิตวิญญาณ คือพลังที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถกระตุ้นและชี้นำผู้คนหรือสังคมได้ ทว่าอุปสรรคก็คือมนุษย์เอง ที่ไม่มีความยำเกรงต่อศาสนาอย่างแท้จริง ปัญหาของสิ่งแวดล้อมในไทยก็เช่นกัน หลายคนบอกว่านับถือพระ แต่จริงๆ แล้วไม่” ศ.ดร. เลสลี กล่าว
พระไพศาล วิสาโล ประธานเครือข่าย พุทธิกา กล่าวไว้ในข้อเขียน “ศาสนาในฐานะพลังทางนิเวศวิทยา”* ว่า ในศาสนาพุทธสัตว์ทั้งหลายไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในวัฏสงสารเท่านั้น หากยังมีสายสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องอย่างน้อยก็ในชาติก่อนๆ เพราะมนุษย์และสัตว์สามารถเลื่อนภพภูมิหรือกลับมาเกิดใหม่ข้ามพันธุ์กันได้ แต่ทัศนะดังกล่าวได้รางเลือนไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้นำเอาแนวคิดแบบวัตถุนิยมเข้ามาแพร่หลายจนเป็นกระแสหลัก ถึงตอนนี้ธรรมชาติได้แปรสภาพเป็นสินค้าและวัตถุสำหรับสนองความต้องการของมนุษย์อย่างเดียว ผลคือความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมจนเป็นวิกฤตของโลก
อย่างไรก็ตาม คำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นมาในใจก็คือ ทั้งๆ ที่ศาสนากระแสหลักส่วนใหญ่มีท่าทีที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถต้านทานแนวคิดหรือกระแสที่มุ่งครอบงำและทำร้ายธรรมชาติได้ ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยม บริโภคนิยม หรือวิทยาศาสตร์แบบวัตถุนิยม ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมฟ้องว่าศาสนากระแสหลักนั้นอ่อนพลังลงไปมาก
สิ่งท้าทายสำหรับศาสนาในวันนี้ ก็คือจะฟื้นตัวจากความอ่อนแอและกลับมีพลังในการสร้างสรรค์โลกได้อย่างไร นิมิตดีที่พอจะเห็นอยู่คือ ขบวนการทางนิเวศวิทยาที่ทรงพลังในปัจจุบัน หลายขบวนการได้รับแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณจากศาสนาดั้งเดิม นั่นหมายความว่าศาสนาที่มีจิตวิญญาณกำลังฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างประโยชน์แก่โลกอีกครั้งหนึ่ง
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียน กล่าวตอบข้อถามที่ว่า การฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ของศาสนาและมิติทางจิตวิญญาณ จะทันกันหรือไม่กับ หายนะหรือความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น สุลักษณ์ตอบว่า ทันหรือไม่ทัน ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือหลักพุทธศาสนาที่แท้จริง คือการให้การศึกษาแก่คน นำคนออกมาจากไสยศาสตร์
“พุทธศาสนาที่ถ่องแท้ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ จะเข้าถึงธรรมชาติได้ ก็ต้องลดความเห็นแก่ตัว ให้เห็นคนอื่น ทุกอย่างคืออิทัปปัจจยตา ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ทุกอย่างจำเป็นแก่กัน” สุลักษณ์ เล่า
ดร.ภรณี สปอนเซล อดีตอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Chaminade University of Honolulu ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวถึงการบวชต้นไม้ในประเทศไทยว่า การที่ไทยหรือหลายชนเผ่าในเอเชียเทียบต้นไม้เป็นพระสงฆ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเปรียบในเชิงจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานก็ใต้ต้นไม้ทั้งสิ้น ต้นไม้จึงเป็นต้น เป็นใบ และเป็นรากที่หยั่งลึก
“ต้นไม้ในศาสนาพุทธจึงสำคัญที่สุด โดยเป็นมิติของการพัฒนาชีวิตจากด้านใน จากภายในนำสู่ภายนอก อย่างไรก็ตาม ปัญหาในเมืองไทยยากมาก เพราะวัตถุนิยมรุนแรง คนส่วนใหญ่ไม่เห็นความถูกต้อง แต่เห็นเงินว่าเป็นพระเจ้า”
ดร.ภรณี กล่าวต่อไปว่า เมื่อพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่มักนึกถึงมาตรการทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี ขณะนี้องค์ความรู้เต็มโลก ข้อมูลก็เต็มไปหมด แต่ทำไมจึงยังแก้ปัญหาไม่ได้ จิ๊กซอว์ที่ขาดหายไป อาจเป็นมิติทางจิตวิญญาณ หรือการรับรู้จากภายใน ถ้าเรารักตัวเอง เราต้องรักธรรมชาติ ปัญหา สิ่งแวดล้อมที่ยังแก้ไม่ได้ก็เพราะคนขาดความรักและตระหนักรู้ในตัวตนที่แท้
ในหนังสือเล่มล่าสุดของ ศ.ดร.เลสลี “นิเวศวิทยาแนวจิตวิญญาณ : การปฏิวัติโดยสงบ (Spiritual Ecology : A Quiet Revolution)” ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังสือเพื่อสิ่งแวดล้อมประจำปีเมืองซานฟรานซิสโก ในสาขาวิทยาศาสตร์ (17 พ.ค.) ที่ระบุถึงความสำคัญของธรรมชาติ พื้นฐานที่สำคัญสำหรับสรรพสิ่ง รวมทั้งทางออกของปัญหา ที่เริ่มต้นจากการรับรู้ภายใน
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วลองถามตัวเองว่า เราจะเลือกทำอย่างไร จะตักตวงธรรมชาติในฐานะต้นทุนการผลิตอยู่ต่อไป หรือจะเพิกเฉย หรือเราจะทำอะไรได้บ้าง ดร.ภรณี กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุด ความคิดหรือพฤติกรรมของเรา เปลี่ยนหรือสร้างความเข้าใจให้คนรอบข้างได้ คำตอบคือตัวเราและการลงมือทำ
ส่งท้ายด้วยลิงบนเกาะกับทฤษฎีแรงเหวี่ยง โลกยุคสงครามเย็น ผู้คนหวาดกลัวการสะสมนิวเคลียร์ของชาติมหาอำนาจ มีการกล่าวถึงทฤษฎีลิงตัวที่ 100 ซึ่งอธิบายแรงเหวี่ยงทางพฤติกรรม (Critical Mass) ในเชิงสังคมวิทยาเกี่ยวกับลิงฝูงใหญ่บนเกาะแห่งหนึ่ง
ลิงทั้งเกาะนี้แต่เดิมมาก็ปอกกล้วยด้วยวิธี บิที่ส่วนหัวของกล้วย แล้วลากเปลือกลงมา ปรากฏว่ามีลิงตัวที่ 1 ขบถ มันเลิกปอกกล้วยด้วยวิธีเดิม แต่หันไปบิจากส่วนปลายของกล้วยซึ่งง่ายกว่าแทน
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความยากง่าย แต่อยู่ที่เมื่อลิงตัวที่ 1 ค้นพบวิธีปอกกล้วยแบบใหม่ การค้นพบของมันค่อยๆ แพร่กระจายอย่างช้าๆ ไปยังลิงตัวอื่นบนเกาะนั้น และเมื่อถึงลิงตัวที่ 100 การแพร่ก็กระจายไปทั้งเกาะอย่างรวดเร็ว รวมทั้งกระจายไปยังฝูงลิงบนเกาะอื่นๆ ทั้งๆ ที่สภาพของเกาะถูกจำกัดด้วยน้ำทะเล
เหมือนกับความหวาดกลัวของผู้คนต่อปรมาณู แรงเหวี่ยงของการต่อต้านสงครามครั้งนี้กระจายไปทั่วโลกในยุคหนึ่ง จนสามารถรณรงค์ในระดับนโยบายได้สำเร็จ กระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลาย สงครามเย็นจึงยุติลงอย่างถาวร
เช่นเดียวกับ Spiritual Ecology : A Quiet Revolution ที่ชี้ให้เห็นกระแสและแนวร่วม ที่กำลังมองต่างมุมเรื่องจิตวิญญาณเพื่อสิ่งแวดล้อม เชิญชวนผู้คนให้คืนความเคารพต่อธรรมชาติ
มาเป็นลิงตัวที่ 100 กันเถอะ!
*www.visalo.org


