สาวอนาคตไกล สเตฟานี น้ำฝน เลอร์ช
สาวน้อยลูกครึ่งหน้าหวานใสที่ใครเห็นก็ต้องคิดในใจว่าทำไมเธอคุ้นหน้าจัง
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
สาวน้อยลูกครึ่งหน้าหวานใสที่ใครเห็นก็ต้องคิดในใจว่าทำไมเธอคุ้นหน้าจัง แม้เราจะรู้จัก สเตฟานี น้ำฝน เลอร์ช นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในฐานะนางเอกละครเรื่องลูกผู้ชายพันธุ์ดี ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 แต่ถ้าบอกว่าเธอคนนี้เคยผ่านงานโฆษณาตั้งแต่เด็กอย่าง ทเวลฟ์ พลัส, แมคโดนัลด์, เอไอเอส และสเวนเซ่นส์ รวมทั้งถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่น เล่นมิวสิกวิดีโอ อีกหลายชิ้น ก็ทำให้รู้คำตอบว่าเราเห็นเธอผ่านงานโฆษณาถ่ายแบบมาตั้งแต่เด็กๆ จนเติบโตเป็นดาราสาวที่มีแฟนคลับหลายแสนคนคอยติดตามผลงานของเธออยู่
สเตฟานีเล่าถึงตอนเข้าวงการใหม่ๆ ของเธอว่า เวลานั้นไม่ได้รู้สึกอยากเป็นนักแสดง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเข้ามาที่สตูดิโอทุกเช้า ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มีแสงไฟส่อง มีงอแงบ้างตามประสาเด็กๆ เพราะอยากจะไปเล่นกับเพื่อน อยากเล่นของเล่น
แต่ตรงจุดนั้นทำให้กลายเป็นคนที่มีความคิดโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน รู้จักมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องมาทำงานให้ตรงต่อเวลา รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ต้องมีมารยาทในสังคม สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องดีในการพัฒนาตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว มารู้อีกทีตอนอายุ 15 ที่เริ่มคิดได้ว่าการที่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ถือเป็นความโชคดี และเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบและจะต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เมื่อได้โอกาสนั้นมาแล้วจะต้องตั้งใจกับมัน ทำอย่างคิดถึงอนาคตข้างหน้า ถ้าทำวันนี้ไม่ดีวันหน้าอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้วจะเสียดายโอกาสที่ได้มาหรือเปล่า ดังนั้นทำให้เต็มที่แล้วเราจะไปถึงอนาคตที่เราฝันไว้
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เรื่องเรียนก็เช่นกัน มีอยู่ช่วงนึงที่ต้องถ่ายละคร 3 เรื่องติดกัน จึงต้องทำงานเต็มวันเกือบทั้งสัปดาห์ ซึ่งแบ่งเวลายากมาก แต่ก็จะขอคิวพี่ๆ ในกองว่าขอไปเข้าเรียนก่อน อย่างน้อยๆ ขอเข้าไปเช็กชื่อ มีเวลาพูดคุยเรื่องบทเรียนกับอาจารย์และทบทวนการบ้านกับเพื่อนๆ บ้าง ก่อนจะเดินทางกลับมาถ่ายละครที่กองต่อ
พอถ่ายละครเสร็จก็กลับบ้านมาทำการบ้านต่อ ส่วนงานกลุ่มก็แบ่งกลุ่มกับเพื่อนว่าใครจะทำส่วนไหน ก็แบ่งกันหาข้อมูลให้มารวบรวมกัน เพราะถ้าไม่ช่วยเพื่อนๆ ทำงาน เวลาอาจารย์ถามว่าช่วยอะไรบ้างก็จะตอบไม่ได้ว่าช่วยเพื่อนตรงจุดไหน และเวลาที่ต้องรายงานหน้าชั้นก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาในรายงานนั้นอย่างถ่องแท้ อย่างน้อยๆ ถ้าไม่มีเวลาพิมพ์ก็ช่วยค้นหาข้อมูลสนับสนุนงานกลุ่มแบ่งเบาภาระเพื่อนๆ ก็โชคดีมากที่ได้กลุ่มเพื่อนที่ดี ถ้าไม่มีเพื่อนๆ ช่วยเรื่องเรียนก็คงไม่สามารถเรียนมาได้ถึงจุดนี้
“รู้ตัวว่าเราไม่ได้เรียนเก่งจึงไม่อยากหวังสูงเรื่องผลการเรียน คิดว่าตัวเองเหมือนกับ รอน วีสลีย์ ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ รอนเป็นตัวละครที่ไม่ได้เรียนหนังสือเก่งเหมือนกับเฮอร์ไมโอนี ไม่ได้เด่นดังเหมือน แฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เขาจะมีมุมมองในการใช้ชีวิต การคิดเอาตัวรอดในแบบของเขาที่ทำให้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ไปได้ และที่สำคัญเรื่องการเรียนของรอนก็ได้เพื่อนที่ดีคอยช่วยติวช่วยแนะนำให้กับเขา กลับมาที่ตัวเราเอง ถ้าเราเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่ได้เพื่อนที่ดีแบ่งเวลาทำงานกลุ่ม กับทบทวนวิชาเรียนก่อนสอบก็ทำให้เราผ่านปัญหาเรื่องการเรียนได้เหมือนกัน”
สเตฟานีเล่าถึงเรื่องการเรียนอย่างถ่อมตนตรงไปตรงมา ซึ่งเธอบอกว่า ที่เลือกคณะนิเทศศาสตร์ก็เพราะทำงานด้านนี้จึงน่าจะเหมาะสมมากกว่า ซึ่งตั้งใจว่าจะเรียนต่อทางด้านสาขาการแสดงในปี 3 ต่อไป เพื่อสานต่องานในวงการ
เมื่อเราถามถึงไอดอลของเธอ คำตอบกลับไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นคนในครอบครัวของเธอทุกคน สาวน้อยบอกกับเราว่า ดาราที่ชื่นชอบ รุ่นพี่ในวงการที่เป็นแบบอย่างก็มี แต่ไอดอลที่ดีที่สุดในชีวิต คนที่ได้สัมผัสและเห็นภาพมากที่สุดนั้นก็คือครอบครัวที่เติบโตมาด้วยกัน ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ ดูว่าเขาทำงานอย่างไรและแก้ไขปัญหาอย่างไร
เวลาที่เจอปัญหาในการทำงาน จะไม่เข้าไปแก้ในทันที เพราะว่าถ้าแก้ตอนนั้นมันอาจจะทำให้แก้ไม่ถูกจุดและทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีก เพราะยังติดที่อารมณ์ที่กำลังโกรธอยู่ แต่ถ้าเดินห่างออกจากตรงนั้น รอให้อารมณ์สงบลง ได้กลับมาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นมา ปัญหาเกิดจากอะไร ผิดตรงไหน และจะแก้ไขตรงจุดนั้นได้ยังไง น่าจะดีกว่า ถ้าตัวเองผิดก็ต้องไปขอโทษ แต่ถ้าไม่ได้ผิดหรือเป็นความผิดของทั้งสองฝ่ายก็ต้องเคลียร์ให้เข้าใจ
หรืออย่างเรื่องง่ายๆ ว่าเราเกิดมาไม่ควรดูถูกคนอื่น ถ้าคนอื่นเดือดร้อนก็ควรช่วยเท่าที่เราทำได้ อย่างน้อยๆ ให้คิดว่าได้มีโอกาสช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เราเรียนรู้ผ่านคุณพ่อคุณแม่เวลาที่เห็นพวกท่านทำงาน พูดคุยกันในครอบครัว และสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อทุกสิ่งให้เราได้เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่ดีอย่างไร


