ซีรีส์:ฉันรักกรุงเทพฯ(ซีซัน2)
ณ ห้วงเวลาหลังพายุกระหน่ำประเทศบอบช้ำกำลังฟื้นตัว มีคนดังหลายคนอยากบอกเล่าว่า บ้านเรามีท้องฟ้า มีสายน้ำ มีภูเขา มีต้นไม้ มีความสุขใจเพียงใดที่อยู่ในด้ามขวานทอง
ณ ห้วงเวลาหลังพายุกระหน่ำประเทศบอบช้ำกำลังฟื้นตัว มีคนดังหลายคนอยากบอกเล่าว่า บ้านเรามีท้องฟ้า มีสายน้ำ มีภูเขา มีต้นไม้ มีความสุขใจเพียงใดที่อยู่ในด้ามขวานทอง
โดย...วราภรณ์/ณัฐพล
ณ ห้วงเวลาหลังพายุกระหน่ำประเทศบอบช้ำกำลังฟื้นตัว มีคนดังหลายคนอยากบอกเล่าว่า บ้านเรามีท้องฟ้า มีสายน้ำ มีภูเขา มีต้นไม้ มีความสุขใจเพียงใดที่อยู่ในด้ามขวานทอง
เหมียง-วิมลภัทร์ ตุงคนาค ข้าราชการสาวแห่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร|กัลปพฤกษ์ หลานสาว ม.จ.ภีศเดช รัชนี มีหัวใจรักเมืองไทยอย่างเต็มเปี่ยม เธอเล่าถึงความผูกพันระหว่างเธอกับเมืองไทยว่า เมืองไทยให้ความรู้สึกเป็นบ้านเมืองของเธอจริงๆ เนื่องจากบรรพบุรุษของเธอทุกรุ่นก็เกิดและเติบโตในเมืองไทย
“เมืองไทยมีประเพณีและวัฒนธรรมที่ต่างจากประเทศอื่นๆ เหมียงรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย คนไทยโดยพื้นฐานแล้วมีน้ำใจ ในเมื่อบ้านเรามีปัญหาการเมือง และเมื่อวิกฤตผ่านพ้น แต่ละคนต่างสาขาอาชีพก็ออกมาช่วยกันปัดกวาดบ้านเมืองซึ่งเป็นภาพที่ดีมาก เหมือนทุกคนกลับมารักกันเหมือนเดิม เหมียงรู้สึกดีที่ทุกคนตื่นตัว เมื่อเกิดวิกฤตทุกคนต่างออกมาช่วยกันตามกำลัง ด้วยน้ำใจอย่างแท้จริง เจอกันทุกคนยิ้มให้กัน แม้เราเคยทะเลาะกัน คือคนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
สถานที่ในเมืองไทยที่เธอรู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ วิมลภัทร์ ตอบว่า อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 อยู่บริเวณสะพานพุทธ เธอรู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเวลาขับรถผ่าน หรือนำดอกไม้ไปสักการะที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ ทำให้เธอย้อนรำลึกถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาอย่างยาวนาน บ่งบอกให้รู้ว่าชาติไทยมีอารยธรรม มีที่มา มีรากเหง้า มีพระมหากษัตริย์ที่ทุกพระองค์เสียสละ เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อให้เรามีดินแดนไทยจนถึงทุกวันนี้
“เรามีดินแดนอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บรรพบุรุษต้องรบกันตายมากมาย บริเวณอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 เหมียงผ่านบ่อยเพราะอยู่ด้านหลังของวังประมวลของท่านตา เหมียงไปสักการะบ่อย เวลาไปซื้อดอกไม้ที่ปากคลองตลาดก็จะแวะไปสักการะเป็นประจำด้วยความเคารพจากใจจริง” วิมลภัทร์ กล่าว
ป้อน-ลีลา สุนทรวิเนตร์ คอมมิวนิเคชัน เอ็กเซกคิวทีฟ บริษัท ไอเอ็นซี ทายาท วิทวัส สุนทรวิเนตร์ เล่าถึงความผูกพันของเธอกับเมืองไทย แม้เกิดที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย แต่ก็กลับมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุ 6 เดือน จนถึง 14 ปี แม้จะใช้ชีวิตเมืองนอกเป็นสิบปี แต่เมืองไทยเป็นบ้านเสมอ
“ใครจะคิดว่าอยู่เมืองนอกอากาศดี แต่เมืองไทยร้อนแต่ป้อนก็ยังคิดว่าเมืองไทยเป็นบ้านของเรา และเป็นบ้านโดยแท้จริง ทุกซัมเมอร์ต้องกลับมาเมืองไทย เวลาไม่ได้กลับมาก็คิดถึง แต่ถ้ากลับมาแล้วก็รู้สึกดีมีความสุข”
สถานที่ที่เธอรู้สึกประทับใจและผูกพันเป็นพิเศษ คือ ช่วงถนนเพลินจิต หลังสวน วิทยุ ชิดลม เวลาครึ่งหนึ่งในเมืองไทย ลีลาใช้ชีวิตอยู่ย่านนี้ ตั้งแต่เข้าเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีร่วมกับพี่สาวและน้องสาว ทุกคนในครอบครัวจึงรู้สึกรักบริเวณนี้มาก
“ตอนเด็กๆ เวลาเลิกเรียนก็เดินมารอคุณแม่ที่เซ็นทรัลชิดลม หรือไม่ก็โซโก้ (อัมรินทร์พลาซา ปัจจุบัน) ไม่ก็นั่งรถไฟฟ้าไปสยามสแควร์ ถึงบ้านจะอยู่พระราม 3 แต่บริเวณนี้เหมือนเป็นถิ่นของเรา ตอนนี้ใช้ชีวิตทำงานแล้วก็ยังอยู่อาคารสินธร ถนนวิทยุ ทำงานเสร็จก็ไปออกกำลังกายที่โปโล เรียกว่าย่านนี้เป็นไลฟ์สไตล์จริงๆ”
สำหรับทางฟาก ปืน-สธน ตันตราภรณ์ มีชีวิตอยู่ในบ้านพื้นที่ 2 ไร่ ติดกับตึกจีเอ็มเอ็ม ซอยอโศก มรดกตกทอดจากคุณย่ามา 40 ปี มาตั้งแต่เกิด เป็นโอเอซิสแห่งความสดชื่นกลางป่าความเจริญ ที่อยู่รวมกันกับพ่อ แม่ และพี่อีก 2 คน
จนวันนี้เป็นหนุ่ม 27 ทำงานสายการตลาด บริษัท เพนดูลัม บอกเล่าว่า หัวใจรักผูกพันกับอโศกและท่าพระจันทร์... “ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ ความรู้สึกของเรา “กรุงเทพฯ” เป็นเมืองที่ดี ไม่ใช่ภาพเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะ ว้าว กับสถานที่ต่างๆ แต่คือความรู้สึกของความเป็นบ้านมากกว่า เพราะอะไรมันก็คล่องตัว มีวัฒนธรรมของตัวเอง อย่างภาษา ต่อให้พูดอังกฤษดีแค่ไหน เราก็มีภาษาไทยเป็นภาษาของเราเอง คนที่เมืองไทยคือคนพูดจาภาษาเดียวกัน
ผมเองจบมาจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชีวิตนักศึกษาเป็นช่วงที่เราเปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ที่ท่าพระจันทร์เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเราว่าเหตุการณ์รุนแรงเลวร้ายมันเคยเกิด และทุกคนก็ผ่านกันมาได้
ธรรมศาสตร์ก็ส่งเสริมให้เรากล้าคิด ไม่ว่าจะทัศนคติต่ออะไร มันก็ถูกฟอร์มขึ้นมาด้วยชีวิตมหาวิทยาลัย จากการเรียน การทำกิจกรรม ธรรมศาสตร์ที่พูดถึงไม่ใช่แค่แม่โดม แต่หมายรวมถึงท่าพระจันทร์-ท่าพระอาทิตย์ เป็นเสน่ห์ที่ยังคงเหมือนเดิม คนเรียนที่นี่คงเคยไปกินร้านส้มตำกิ้ว ซื้อซีดีร้านน้องท่าพระจันทร์ บริเวณนั้นยังเป็นชุมชนโบราณ ส่วนบ้านที่อโศกกลางเมืองเลย รถติด มีแต่คนใช้ชีวิตวันธรรมดา เสาร์-อาทิตย์เป็นเมืองร้าง หาอะไรกินไม่ได้ แต่ก็คือบ้านเรา”
พิธีกร นักแสดง และดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์หนุ่มหล่ออย่าง ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร อ้อนวอนขอความสุขกลับคืนบ้านอบอุ่นหลังนี้ แถมบอกเล่าภาพความผูกพันของตนเองกับย่านนานา และสยามสแควร์
“ผมก็เป็นคนที่เดินทางบ่อยมาก แต่สุดท้ายเราก็อยู่ที่ที่เราอยู่กันเป็นประจำนี่แหละ สบายที่สุด ที่ที่เป็นบ้านมากที่สุด เราก็จะอยู่ประเทศเรานี่แหละไปจนตาย คนอาจจะใฝ่หาความศิวิไลซ์ ความเจริญทางเทคโนโลยี แต่ความเป็นคนไทยของเราที่ประนีประนอม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยิ้มแย้มให้กัน มันไม่มีประเทศไหนในโลกนี้แล้วที่จะมีได้ขนาดนี้
ผมเกิดที่ย่านนานาครับ อยู่กับตึกแถวริมถนนใหญ่มา ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจกลางมหานคร ผ่านมา 20 กว่าปี ผูกพันกับถนนใหญ่ ผู้คน แผงลอย นักท่องเที่ยว เป็นความหลังครั้งเก่าตลอดเวลา ดีเลว สุขทุกข์ ผมมีเพื่อนคนแรกก็คือคนที่ขายของแผงลอยหน้าบ้าน ผมไม่มีสนามหญ้าเล่น แต่ผมมีฟุตปาทที่ผมจะวิ่งเล่นของผมได้ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ แต่ก็มีบันไดบ้านให้วิ่งเล่น มีพ่อแม่อยู่ด้วยตลอด
ผมประทับใจความหลากหลายของคน จากใต้ เหนือ อีสาน เราเห็นวิถีชีวิต เห็นภาษาสำเนียงของเขา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ในความทรงจำของผมคือทุกคนช่วยกันหมด หรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยว ถ้าเขามีปัญหาอะไร เราก็ช่วยเหลือกัน
จากบ้านผมนั่งรถเมล์ไปสยามสแควร์ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ถ้าช่วงวัยรุ่นก็นึกถึงสยามเลย บางทีปั่นจักรยานไป ช่วงเรียนลูกเสือก็มีเดินทางไกล ผมก็ไปราชประสงค์ กับสยามผมว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อัพเดตเทรนด์ใหม่ๆ มีผู้คนหลากหลาย เป็นศูนย์รวม ถ้าเมื่อก่อนอาจจะเป็นวัด เดี๋ยวนี้ก็เป็นศูนย์รวมของหนุ่มสาวยุคใหม่ ถ้าบอกว่าไปสยามก็ไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนรู้จักแล้วก็ผูกพันกับมัน
สิ่งที่อยากจะบอกกับทุกคน คือ เหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว วันนึงมันก็จะกลายเป็นแค่เรื่องเล่า ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ในแง่ธุรกิจเขาก็คงทำทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์กลับมาปกติเร็วที่สุด
เราต้องช่วยกันเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องจิตใจ วันก่อนไปร้องเพลงให้คนไทยกลับมามีความสุขร่วมกับเพื่อนศิลปิน ดารา ก็เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงออกว่าเราอยากเริ่มใหม่ไปด้วยกัน”
จะอย่างไร กรุงเทพฯ ประเทศไทย ก็ยังอบอุ่น งดงาม


