ฤๅจะเป็นประชิสุดท้าย?
ถ้าครอบครูคือ ใบรับรองความเป็นนักแสดงของพวกโขนละครในวงการละคร “ประชิ” ก็คือการรับรอง
โดย...จำลอง บุญสอง
ถ้าครอบครูคือ ใบรับรองความเป็นนักแสดงของพวกโขนละครในวงการละคร “ประชิ” ก็คือการรับรองความเป็นนักล่าช้างของชนเผ่า “กูย” แห่งตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชา
ชั้นยศของนักล่าช้างชาวกูยมีทั้งหมด 5 ชั้น คือ หนึ่ง ลวงกำพืดหรือครูบาใหญ่ (ลวงกำพืดคนปัจจุบันคือคุณตาดา หอมหวล แต่เนื่องจากท่านอายุมากและป่วยนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถทำหน้าที่ได้จึงให้หมอสะดำอาวุโส บุญมา แสนดี ทำหน้าที่แทน) สอง สะดำ เป็นนักล่าช้างที่สามารถคล้องช้างป่าได้ตั้งแต่ 610 ตัวขึ้นไป สาม สะเดียง เป็นหมอล่าช้างที่สามารถคล้องช้างป่าได้ตั้งแต่ 1-5 ตัว สี่ จา คือหมอช้างที่ยังจับช้างยังไม่ได้ และห้า มะ หรือควาญช้าง ผู้มีหน้าที่เอาหญ้าเอาน้ำให้ช้างกิน
“การขึ้นชั้นเป็นสะเดียง สะดำ นอกจากจะใช้จำนวนช้างที่หมอช้างแต่ละคนล่าได้แล้ว ยังขึ้นกับช้างแต่ละเชือกที่หมอคนนั้นล่าได้อีกด้วย เช่นล่าได้ช้างพลายมีงาก็จะได้เลื่อนชั้นเร็ว ช้างสีดอจะรองลงมา ส่วนช้างที่ไม่มีงา ช้างพัง จะได้รับการเลื่อนชั้นช้ากว่าล่าช้างงา เป็นต้น” พระครูสมุห์หาญ ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียง (อาเจียงแปลว่า ช้าง) กล่าวในขณะที่พิธีประชิกำลังจะเริ่มขึ้นที่บ้านตากลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
“การเลื่อนชั้นยศจาก มะ มาเป็น จา จาก จา มาเป็น สะเดียง และจาก สะเดียง มาเป็น สะดำ ต้องให้ลวงกำพืดหรือครูบาใหญ่ทำพิธีให้อย่างเป็นทางการ ถ้าไม่เข้าทำพิธีเช่นนั้นนักล่าช้างชาวกูยจะไม่ได้รับการยอมรับให้ขึ้นชั้นเป็นหมอช้างได้ตามประเพณี” ผู้ร่วมพิธีคนหนึ่งกล่าว
การทำพิธีประชิในครั้งนี้ก็เพื่อเลื่อนชั้นให้กับหมอช้าง 12 คน พิธีเริ่มด้วยหมอสะดำหมิว ศาลางาม และหมอสะดำบุญมา แสนดี ซึ่งอาวุโสเท่ากัน รวมถึงหมอชั้นจา และชั้นมะจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันที่หน้าศาลประกำที่แท้จริงของหมู่บ้านใกล้วัดป่าอาเจียง โดยทุกคนแต่งตัวแบบกูยคือแต่งชุดโสร่งพื้นเมือง “ผ้าคล้องคอ” แบบกูย
ทุกคนที่เข้าร่วมพิธีจะต้องเอาไก่ต้ม หมากพลู และดอกไม้มาทำพิธีไหว้ศาล หลังจากกล่าวคำบูชาศาลบรรพบุรุษแล้วผู้ร่วมพิธีทุกคนต้องเอาเหล้าขาว น้ำหวาน ราดลงบนเชือกปะกำ (เชือกคล้องช้าง) ที่พวกเขานับถือ เพื่อให้ผีบรรพบุรุษหรือยะจั๊วะได้ดื่มเหล้า ดื่มน้ำหวานที่พวกเขาเทลงไป
เชือกปะกำดังกล่าวเป็นเชือกสำหรับคล้องช้าง ทำด้วยหนังควาย 3 ตัว ตัวผู้ 2 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว เชือกคล้องช้างเส้นนี้เป็นเชือกศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านที่ทุกคนต้องกราบไหว้ แม้จะไม่มีการคล้องช้างป่าจริงๆ แล้วก็ตาม เชือกประกำนี้ห้ามผู้หญิงเข้าไปแตะต้อง ส่วนผู้ชายให้แต่คนโตของตระกูลที่มีหน้าที่ล่าช้างเท่านั้นที่เข้าไปแตะต้องได้
หลังจากทำพิธีไหว้ศาลปะกำ เซ่นเชือกปะกำเสร็จ หมอสะดำบุญมาก็จะพาบรรดาหมอสะดียงและจาทั้งหมดไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ในวัดเพื่อทำพิธีเลื่อนชั้นหมอช้าง เริ่มต้นด้วยหมอสะเดียงขึ้นชั้นเป็นหมอสะดำ 2 คนแรกก่อน จากนั้นก็ถึงคิวจาขึ้นเป็นหมอสะดำ 2 คน และตามด้วยมะมาเป็นจาอีก 8 คน
พิธีเริ่มต้นด้วยหมอช้างที่จะเลื่อนชั้นต้องนำไก่ต้ม ข้าวสาร หมากพลู เหล้าขาว และเงินจำนวน 29 บาท มาไหว้ผู้เป็นประธานในพิธี ประธานในพิธีต้องพูดภาษาผีปะกำรับไหว้ ไหว้เสร็จต้องเอาของเซ่นไหว้มาไหว้เชือกปะกำ เอาเหล้าขาวราดให้ผีบรรพบุรุษได้ดื่มกิน ต่อจากนั้นประธานผู้ทำพิธีก็ท่องคาถาอาคม ปัดเป่าป้องกันภูติผีปีศาจ โดยผู้ถูกทำพิธีจะนั่งยองๆ พนมมือรับน้ำมนต์ปัดเป่า หลังจากเสร็จพิธีปัดเป่าแล้วจะเข้าสู่พิธีคล้องช้าง ผู้เข้าทำพิธีจะต้องขี่ช้างต่อ (ช้างที่ถูกฝึกมาแล้ว) ไล่ตามช้างป่า (ช้างบ้านที่สมมติว่าเป็นช้างป่า) สามรอบ และใช้เชือกปะกำคล้องขาช้างป่าให้สำเร็จ การคล้องสามารถคล้องได้ทั้งขาหน้าและขาหลัง หากคล้องช้างได้แล้วก็ถือว่าเสร็จพิธีผ่านการทดสอบเลื่อนชั้นได้
หมอสะเดียงและหมอจาหลายคนที่เข้าร่วมพิธีแม้จะมีความสามารถในการบังคับช้างอยู่แล้ว แต่การใช้เชือกปะกำติดปลายไม้คล้องขาช้างนั้นไม่ง่ายนัก เพราะช้างป่าจะยกขาหนีทุกครั้ง จนบางครั้งควาญช้างที่อยู่ข้างล่างต้องช่วยเอาเชือกปะกำไปคล้องให้โดยอนุโลม เพื่อให้พิธีเลื่อนขั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากคล้องช้างป่าได้แล้ว ตอนเย็นหมอช้างใหญ่ผู้ทำพิธีก็จะเอาช้างป่าที่ถูกคล้องมาทำพิธีปัดรังควานไล่ผีที่ดูแลช้างออกไปเป็นอันครบพิธี
หลวงพ่อหาญหรือพระครูสมุห์หาญ ปัญญาธโร ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ประกอบพิธีกรรม กล่าวว่า “ช้างป่าสมมตินั้นในยุคปัจจุบัน อาจจะใช้ช้างที่เกิดใหม่ในหมู่บ้านที่ยังไม่ผ่านพิธีกรรมใดๆ มาก่อน หรือจะใช้ช้างที่ซื้อมาจากที่อื่นก็ได้ ในพิธีถือว่าเป็นช้างป่าทั้งสิ้น”
“พิธีประชิช้างนั้นไม่ได้มีบ่อยนัก นานๆ จะมีทีหนึ่ง เพราะต้องมีหมอสะเดียง หมอสะดำ เข้าร่วมพิธีอย่างต่ำ 5 คน ซึ่งปัจจุบันหมอเหล่านี้ต่างแยกย้ายกันไปทำมาหากินแถวพัทยาบ้าง กาญจนบุรีบ้าง จึงรวมตัวกันลำบาก ต่างจากแต่ก่อนที่ทุกคนทำนาอยู่ที่หมู่บ้านเดียวกัน จึงระดมกันทำประชิช้างได้ง่าย”
“ตอนนี้หมอสะเดียงในหมู่บ้าหลงเหลือแค่สามสี่คน แต่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้จริงๆ มีเพียงสองคน เพราะหลายคนแก่เฒ่าไปมาก ดังนั้นการทำประชิจึงต้องให้สอดคล้องกับความพร้อมของทุกคนรวมทั้งเรื่องเงินด้วย”
พิธีประชิไม่ได้ทำมานานอย่างน้อย 5 ปี หลังจากทำประชิครั้งนี้แล้วเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกเพราะผู้เป็นสะเดียง สะดำ อายุมาก และร่อยหรอลงไปทุกวัน พิธีโบราณแบบนี้หาคนสืบทอดได้ยาก ยกเว้นคนในตระกูลที่มองเห็นคุณค่าและต้องการสืบสานจิตวิญญาณระหว่างช้างกับชาวกูย
กูย ชนเผ่าล่าช้าง
กูยเป็นชนเผ่าล่าช้างมาใช้งานและส่งส่วยให้อยุธยาและกรุงเทพฯ พวกเขาอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชา แถวพนมดงรัก ชาวกูยไม่ใช่ชนเผ่าเขมรและก็ไม่ใช่ชนเผ่าลาว เพราะพวกเขามีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง
ก่อนปี 2500 ที่มีกฎหมายห้ามล่าช้าง ชนเผ่ากูยจะออกล่าช้างป่ากันปีละ 23 ครั้ง ครั้งละ 23 เดือน เพื่อเอามาใช้งาน ก่อนออกล่าช้างป่า ลวงกำพืดหรือหมอช้างใหญ่จะหาวันฤกษ์งามยามดีที่ออกจะล่า โดยเขาจะแจ้งให้ผู้ที่จะเข้าร่วมล่าช้างแต่ละคณะทราบล่วงหน้าประมาณ 2030 วัน ก่อนล่าช้าง 7 วัน ก็ต้องมาทำพิธีบวงสรวงศาลประกำประจำบ้านกำลวงพืด บวงสรวงแล้วก็ต้องออกไปในป่าและพูดภาษาผีปะกำที่ไม่ใช่ภาษากวยอย่างที่เขาใช้กันในชีวิตประจำวันเพื่อลวงผีป่า ไม่ให้ผีป่าล่วงรู้ความลับในการล่าช้าง การออกไปอยู่นอกบ้านนั้นห้ามเข้าบ้านโดยเด็ดขาด แต่คนในบ้านสามารถเอาของไปส่งให้ได้ ปัจจุบันชนเผ่ากูยอาศัยอยู่มากในแถบอีสานใต้ อันได้แก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ


