posttoday

นักเรียนแบบพลางตัว

22 มิถุนายน 2557

สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฤดูการแข่งขันฟุตบอลโลกเวียนมาอีกครั้ง สิ่งที่ศึกลูกหนังโลกเมื่อปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์นอกเหนือจากภาพการแข่งขัน ก็คือ นักทายผล ที่ชื่อว่า “พอล” หรือเจ้าหมึกยักษ์ นักทายผลบอลที่เรียกได้ว่าโด่งดังยิ่งกว่าเซียนลูกหนังชั้นนำทั่วโลกเสียอีก ในปีนั้นเจ้าหมึกยักษ์สัญชาติอังกฤษที่ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ ซีไลฟ์ อควอเรียม ในเยอรมนี ทำนายผลบอลถูก 8 แมตช์รวด โดยใช้วิธีเลือกกินหอยในกล่องที่มีธงทีมที่จะผ่านเข้ารอบ มันทายถูกกระทั่งนัดชิงชนะเลิศระหว่างสเปนที่เอาชนะฮอลแลนด์

สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฤดูการแข่งขันฟุตบอลโลกเวียนมาอีกครั้ง สิ่งที่ศึกลูกหนังโลกเมื่อปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์นอกเหนือจากภาพการแข่งขัน ก็คือ นักทายผล ที่ชื่อว่า “พอล” หรือเจ้าหมึกยักษ์ นักทายผลบอลที่เรียกได้ว่าโด่งดังยิ่งกว่าเซียนลูกหนังชั้นนำทั่วโลกเสียอีก ในปีนั้นเจ้าหมึกยักษ์สัญชาติอังกฤษที่ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ ซีไลฟ์ อควอเรียม ในเยอรมนี ทำนายผลบอลถูก 8 แมตช์รวด โดยใช้วิธีเลือกกินหอยในกล่องที่มีธงทีมที่จะผ่านเข้ารอบ มันทายถูกกระทั่งนัดชิงชนะเลิศระหว่างสเปนที่เอาชนะฮอลแลนด์

ผลพวงจากความโด่งดังของเจ้าพอล ทำให้สารพัดนักทำนายบอลเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด และส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาสัตว์ นอกจากนี้ผลพวงดังกล่าวยังลามมาถึงปัจจุบัน ขณะที่อีกมุมหนึ่งที่ถือเป็นคุณูปการไม่น้อยเช่นกัน ก็คือ มันทำให้เด็กๆ จำนวนมากอยากรู้จักหมึกยักษ์มากขึ้น และได้รู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ไม่ธรรมดา ที่น่าศึกษาพฤติกรรมอย่างยิ่ง

หมึกเป็นสัตว์ที่สามารถพรางตัวได้ ด้วยการเปลี่ยนสีลำตัวได้อย่างรวดเร็วราวกับจอคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยเซลล์บนผิวหนังที่เรียกว่า Chromatophore เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจะดึงผนังของเซลล์เหล่านี้ให้ขยายใหญ่ขึ้น จึงทำให้สีสันของหมึกสามารถแปรเปลี่ยนไปมาได้

หมึกบางชนิดเป็นนักเลียนแบบขั้นเทพ ลำตัวอ่อนนุ่มของมันเลียนแบบเป็นรูปร่างต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่ามันกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูทางธรรมชาติแบบไหน เช่น หากเผชิญหน้ากับปลาสลิดหิน (Damselfish) หรือปลาตัวตลก (Clownfish) มันจะกลายร่างเลียนแบบงูทะเล (Banded Sea Snake) ที่จับปลาชนิดนี้กินเป็นประจำ โดยจะซ่อนหนวดไว้ 6 เส้น และทำตัวเป็นเส้นโค้งยาวๆ บางสถานการณ์มันจะแผ่หนวดออกไปรอบๆ ทุกทิศทุกทาง เพื่อเลียนแบบครีบของปลาสิงโตที่มีพิษ

เจ้าหมึกดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า Thaumoctopus Mimicus พบกระจายอยู่ตามชายฝั่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปกติมันมีสีน้ำตาลแถบขาว เจริญเติบโตเต็มที่จะมีความยาวถึง 60 ซม. เป็นสัตว์สายพันธุ์แรกที่ถูกค้นพบว่ามีความสามารถเลียนแบบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ ได้หลากหลาย

พฤติกรรมการพรางตัวและเลียนแบบธรรมชาตินั้น เป็นวิธีที่สัตว์ใช้เอาตัวรอดในธรรมชาติซึ่งมีกฎเหล็กอยู่ว่า หากไม่เป็นผู้ล่า ก็ต้องเป็นผู้ถูกล่า จึงมอบอาวุธสำหรับป้องกันตัวและอาวุธเพื่อการไล่ล่า

รูปแบบของการเลียนแบบของสัตว์นั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบ 2 ด้าน คือ ตัวแรก “ตัวต้นแบบ” (Model) ตัวที่สองเรียกว่า “ตัวที่ไปเลียนแบบ” (Mimic) ให้คล้ายกับตัวต้นแบบ โดยเฉพาะแมลงที่เป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับการพรางตัว ซึ่งการเลียนแบบของแมลงนั้นมี 2 ทฤษฎีสำคัญ คือ ทฤษฎี “Batesian Mimicry” และทฤษฎี “Mullerian Mimicry” ทั้งสองทฤษฎีของการเลียนแบบมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกัน

ทฤษฎีแรก คือ Batesian Mimicry เป็นทฤษฎีการเลียนแบบเพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันตัวจากสัตว์ผู้ล่า โดยลวงให้สัตว์ผู้ล่าคิดว่าแมลงตัวนี้มีอันตรายหรือไม่สามารถกินได้ เป็นชื่อเรียกตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่ เฮนรี วอลเตอร์ เบทส์ (Henry Walter Bates) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ

ทฤษฎีนี้ ระบุว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นแบบ มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอันตราย หรือมีรสชาติที่ไม่พึงประสงค์สำหรับสัตว์ผู้ล่า และมีสีสันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระบวนการนี้สร้างบทเรียนให้นักล่าเรียนรู้หลังจากที่ลองจับกินเป็นอาหารมาแล้ว แต่พบว่ารสชาติไม่อร่อยจนต้องคายทิ้ง สัตว์ผู้ล่าได้บทเรียนและจดจำได้ชนิดฝังไว้ในสัญชาตญาณ ว่าอย่าเสียเวลาอันมีค่าไปกับการลิ้มลองชิมสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบของสีสันบนลำตัวแบบนี้

นักวิทยาศาสตร์ยกตัวอย่างสัตว์ที่ปรับตัวตามทฤษฎีดังกล่าว คือ “ผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา” (Danaus Chrysippus) ที่เป็นแมลงต้นแบบ เนื่องจากตัวหนอนของผีเสื้อชนิดนี้กินใบของต้นรักที่ยางมีความเป็นพิษสูง พิษของต้นพืชอาหารได้สะสมอยู่ตามเกล็ดที่ปกคลุมลำตัว เมื่อสัตว์ผู้ล่ามาจับกินเป็นอาหารก็มักจะรีบคายทิ้งทันที ส่วนตัวผีเสื้อที่เลียนแบบ คือ “ผีเสื้อกะทกรกธรรมดา” (Cethosia Cyane) ตัวหนอนกัดกินใบกะทกรก หรือพวกเสาวรสเป็นอาหาร ซึ่งไม่มีพิษสะสมในตัวแมลง แต่สัตว์ผู้ล่าไม่จับกินเป็นอาหาร เนื่องจากผีเสื้อกะทกรกธรรมดานั้นมีสีสันและลวดลายบนปีกคล้ายคลึงกับผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา

ทฤษฎีที่สอง เรียกว่า Mullerian Mimicry เป็นทฤษฎีการเลียนแบบที่ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งมีชีวิตชนิดใดเป็นตัวต้นแบบ และชนิดใดเป็นตัวเลียนแบบ โดยชื่อเรียกทฤษฎีนี้ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติกับ เฟดริช ธีโอดอร์ มุลเลอร์ (Friedrich Theodor Muller) นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน

ทฤษฎีนี้ ระบุว่า ทั้งตัวต้นแบบและตัวเลียนแบบต่างก็มีลักษณะที่สัตว์ผู้ล่าไม่พึงประสงค์ร่วมกัน หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีทั้งรสชาติไม่อร่อยและเป็นพิษสูง นอกจากนี้ทั้งตัวต้นแบบและตัวเลียนแบบ ต่างก็มีสีสันที่คล้ายคลึงกัน โดยมีลักษณะของสีและลวดลายที่บ่งบอกถึงอันตรายแก่สัตว์ผู้ล่า

ตัวอย่างนั้นยังคงเห็นได้จากผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา ตัวอย่างเจ้าเดิมจากทฤษฎีแรก และผีเสื้อหนอนข้าวสารลายเสือ (Danaus Genutia) ที่ตัวหนอนกินต้นข้าวสาร ซึ่งมีความเป็นพิษเช่นเดียวกัน ผีเสื้อทั้งสองชนิดนี้มีลวดลายและสีสันคล้ายกัน หรืออาจกล่าวได้ว่ามีรูปแบบที่เป็นอันตรายแก่สัตว์ผู้ล่าร่วมกันนั่นเอง

การเลียนแบบและพรางตัว เป็นอาวุธที่สัตว์ใช้เพื่อเอาตัวรอดจากสัตว์อื่น แน่นอนว่า นอกจากกลยุทธ์นี้จะใช้ตบตามนุษย์ไม่ได้แล้ว ยังกลายเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้มันกลายเป็นสัตว์ที่มีค่าหัวให้ถูกล่าได้อีกด้วย

เคราะห์กรรมนั้น เกิดขึ้นแล้วกับ ตุ๊กแกหางใบไม้ (Mossy Leaftailed Gecko) แห่งป่ามาดากัสการ์ ความสามารถในการพรางตัวขั้นเทพของมันใช้กับศัตรูตามธรรมชาติได้ แต่ไม่สามารถใช้กับศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างมนุษย์ ที่เห็นการพรางตัวของมันเป็นสินค้า เป็นที่ต้องการของนักสะสมสัตว์แปลก จนมันต้องตกอยู่ในฐานะที่เสี่ยงสูญพันธุ์

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ไบรท์ตัน พบ ซันเดอร์แลนด์ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68