ภาพสยองบนซองบุหรี่ กระตุ้นให้ยิ่งยากสูบ!!?
สิ้นสัปดาห์ก่อน 31 พ.ค.ของทุกปี เป็นวัน “งดสูบบุหรี่โลก”
สิ้นสัปดาห์ก่อน 31 พ.ค.ของทุกปี เป็นวัน “งดสูบบุหรี่โลก” เมื่อปฏิทินเวียนวนมาบรรจบ หลากหลายกิจกรรมก็ผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ไม่ว่าการรณรงค์ ไม่ว่าการให้ข้อมูลถึงโทษภัย แต่เมื่อวันคืนเลยล่วงผ่าน ทุกๆ อย่างก็หวนกลับคืนสู่จุดเดิม
แต่ก็อย่างว่า... มองในแง่ดี “วันงดสูบบุหรี่โลก” ก็เป็นหลักไมล์ที่ทำให้ใครๆ หันกลับมาสนใจภัยโรคร้ายที่เกิดจากบุหรี่ไม่มากก็น้อย
บางคนถือฤกษ์วันนี้เลิกบุหรี่เด็ดขาด บางคนช่ำชองกว่า เลิกมาแล้วปีละหลายๆ ที... ก็ว่ากันไป
ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ ไม่ต้องอธิบายความด้วยศัพท์แสงอะไรให้เข้าใจยาก เทียบเคียงสถิติให้เห็นกันจะจะ ชัดแจ้งถึงอันตราย-มัจจุราชร้ายซ้อนรูป
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยข้อมูลที่ทำเอาต้องคิดหนัก... สูบบุหรี่ 1 มวน ทำให้อายุสั้นลง 7 นาที
1 มวน = 7 นาที 1 ซอง = 20 มวน = 140 นาที = 2 ชั่วโมงเศษ ... สูบวันละ 2 ซอง อายุสั้นลงร่วม 5 ชั่วโมง
สูบต่อไปเรื่อยๆ ครบ 1 ปี = 365 วัน อายุสั้นลง 365x5 ชั่วโมง = 1,825 ชั่วโมง = 76 วัน
ใครบางคนสูบมาแล้วร่วม 20 ปี อายุเขาสั้นลงแล้วกว่า 4 ปี
นพ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยปีละ 50,710 คน และเป็นสาเหตุของภาระโรคของคนไทย ทำให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา 52,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.5% ของจีดีพี
อีกมุมหนึ่งที่น่าชวนคิดและจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน นั่นคือนโยบายการ “เพิ่มขนาดภาพ” คำเตือนบนซองบุหรี่ โดยทีมวิชาการทั้งในประเทศไทยและในหลายประเทศทั่วโลก เชื่อตรงกันว่า ขนาดภาพแปรผันตรงกับการยับยั้งนักสูบ นั่นหมายความว่า ยิ่งภาพใหญ่ขึ้น ยิ่งทำให้นักสูบไม่อยากสูบบุหรี่มากขึ้น
ทว่า มีข้อมูลลัทธิแก้อย่างหนังสือ “buy.ology” ที่เขียนขึ้นโดย มาร์ติน ลินด์สตรอม ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดชั้นนำระดับโลก ได้ระบุถึงสัญชาตญาณการซื้อ โดยวิเคราะห์จากการศึกษา “การทำงานของสมอง” ด้วยเทคโนโลยีสแกนล้ำสมัยอันดับ 1 ของโลก ที่ชื่อว่าเอฟเอ็มอาร์ไอ (Functional Magnetic Resonance Imaging) มูลค่าเหยียบ 120 ล้านบาท
“buy.ology” อ้างสถิติว่า ทุกๆ วันมีการจำหน่ายบุหรี่ประมาณ 1.5 ล้านมวน หรือ 10 ล้านมวนต่อนาที ทั่วโลกมีผู้สูบบุหรี่ประมาณ 1,400 ล้านคน และธนาคารโลกได้คาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2568 ตัวเลขนักสูบจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,600 ล้านคน ในขณะที่แต่ละประเทศมีความพยายามจะลดตัวเลขลง โดยมีการออกมาตรการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือภาพเตือนบนซอง
เจมมา คาลเวิร์ต หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีภาพถ่ายทางระบบประสาทเชิงประยุกต์ มหาวิทยาลัยวอริคในประเทศอังกฤษ นำกลุ่มตัวอย่าง 32 ราย ถูกนำมาเข้ากระบวนการสแกนสมอง เขาเหล่านั้นต้องนอนนิ่งๆ กว่า 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็มีการให้ดูภาพคำเตือนบนซองบุหรี่หลากหลายแบบอย่างต่อเนื่อง โดยให้กลุ่มตัวอย่างบอกระดับความต้องการสูบบุหรี่ระหว่างดูภาพด้วยการกดปุ่ม
5 เดือนต่อมา ผลลัพธ์ทำให้โลกต้องตะลึง “คำเตือนทั้งด้านข้าง ด้านหน้า และด้านหลังซองบุหรี่ไม่มีผลต่อความอยากบุหรี่ของนักสูบเลย พูดง่ายๆ ก็คือบรรดารูปภาพน่าสยดสยอง กฎระเบียบของรัฐบาล ตลอดจนเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ 123 ประเทศทุ่มให้กับการณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”
น่าตระหนกหนักมากขึ้นอีก เมื่อพบว่า “ภาพคำเตือนโรคร้ายต่างๆ เหล่านั้น ได้กระตุ้นพื้นที่ในสมองที่เรียกว่า นิวเคลียส แอคคัมเบนส์ หรือต่อมอยาก” นั่นหมายความว่า นอกจากคำเตือนบนซองบุหรี่จะไม่สามารถยับยั้งการสูบบุหรี่ได้แล้ว มันยังส่งสัญญาณให้ต่อมอยากตื่นตัวจนกลายเป็นการ “กระตุ้น” ให้นักสูบอยากสูบบุหรี่มากขึ้นอีก
ผลการศึกษาครั้งนี้จึงสรุปได้ว่า คำเตือนบนซองบุหรี่ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการสูบบุหรี่ ลดการเกิดโรคมะเร็ง และรักษาชีวิตคน กลับกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดชั้นยอดให้แก่อุตสาหกรรมยาสูบมาโดยตลอด
นี่คือหนังสือขายดีระดับเบสเซลเลอร์ของนิวยอร์กไทมส์ ที่แปลขายกระจายไปทั่วโลก ข้อมูลเหล่านี้คงมีที่ไปที่มาบ้าง ประเทศไทยน่าจะลองนำมาพิจารณาดูนะครับ


