posttoday

อ่างศิลาที่ไม่ใช่ครกกับทะเล

23 พฤษภาคม 2553

อ่างศิลานั้นเป็นชุมชนเก่าแก่จริงๆ ครับ เพราะเป็นหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งชื่อเดิมของอ่างศิลานั้นมีชื่อว่าอ่างหิน เพราะเป็นแหล่งหินแกรนิตชั้นดี โดยชาวจีนแต้จิ๋วซึ่งอพยพเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

อ่างศิลานั้นเป็นชุมชนเก่าแก่จริงๆ ครับ เพราะเป็นหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งชื่อเดิมของอ่างศิลานั้นมีชื่อว่าอ่างหิน เพราะเป็นแหล่งหินแกรนิตชั้นดี โดยชาวจีนแต้จิ๋วซึ่งอพยพเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

โดย...นิธิ ท้วมประถม

ช่วงนี้สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวายเหลือเกินนะครับ ในกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เดี๋ยวตูม เดี๋ยวตูม อย่างนี้เซ็งเป็ดจริงๆ

เฮ้อ...ในกรุงเทพฯ ก็ยังไม่น่าเที่ยว จะไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ ก็ยังไม่มีอารมณ์เที่ยว แบบทิ้งการงานไปหลายๆ วัน แต่ถ้าไม่ให้เที่ยวเลย ก็คงเฉาแน่ๆ ครับ

ในช่วงที่ผ่านมา ผมก็เลยมองๆ หาแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก หากเกิดเหตุการณ์อะไรวุ่นวายในกรุงเทพฯ ก็ยังบึ่งรถกลับมาทัน

เมื่อเป็นอย่างนั้น ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวก็คือ “บางแสน”

ชายหาดแห่งความทรงจำ ที่ในสมัยเด็กๆ ผมเคยไปนั่งขุดหอยเสียบเล่นเป็นวันๆ แถมยังเป็นสถานที่ฝึกหัดขี่จักรยานครั้งแรกของผมอีกด้วย และยังเป็นสถานที่ขี่จักรยานคันยาว ที่มีพี่น้องนั่งพ่วงกัน 4-5 คน แห่งเดียวในเมืองไทยก็ว่าได้ และที่สำคัญ ไก่ย่างสีเหลืองอร่ามอันแสนอร่อยยังติดอยู่ในความทรงจำอยู่ตลอดเวลา

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ชายหาดบางแสนถูกความเจริญคืบคลานเข้าไปยึดครองในทุกพื้นที่ของชายหาด ปริมาณนักท่องเที่ยวทำให้ชายหาดบางแสนเสื่อมโทรมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

อ่างศิลาที่ไม่ใช่ครกกับทะเล ซากเรือประมงริมหาดอ่างศิลา

ขณะเดียวกัน มีชายหาดแห่งใหม่เข้ามาทดแทน ไม่ว่าจะเป็น หัวหิน ระยอง และเกาะแก่งต่างๆ ที่ด้วยความสามารถในปัจจุบันสามารถไปได้โดยไม่ต้องกังวล ทั้งในเรื่องของเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้บางแสนถูกลบเลือนออกจากแผนที่การเดินทางของผมไปนานนับสิบปี

แต่มาครั้งนี้จะขอย้อนอดีตเสียหน่อยว่า เจ้าบางสิบหมื่นแห่งนี้ยังคงมีมนต์เสน่ห์ควรค่าแก่การถวิลหา หรือควรที่จะเป็นแค่อยู่ในความทรงจำเท่านั้น

จะว่าไปแล้ว การเดินทางไปบางแสนนั้นก็แสนจะง่ายดายครับ เพราะถนนหนทางก็สะดวก ไม่ว่าจะขึ้นทางด่วนบูรพาวิถี แล้วไปลงสุดทางคือ บางปะกง แล้วก็เลือกเอาครับว่าจะขับตรงไปทางตัวเมืองชลบุรีเลย หรือจะเลี่ยงเมืองไปเส้นทางบายพาส แล้วค่อยไปเลี้ยวขวา ตัดเข้าบางแสนอีกครั้ง ก็แล้วแต่จะเลือกแล้วกัน

ส่วนผมนั้นขอเลือกตรงเข้าไปทางชลบุรีดีกว่า ขอผ่าเมืองเข้าไปดูเสียหน่อยว่าชลบุรีตอนนี้เป็นอย่างไร เพราะตั้งแต่มีถนนเส้นบายพาส ก็แทบจะไม่ได้ผ่านเข้าตัวเมืองชลบุรีอีกเลย
 
มาครั้งนี้เลยขอแวะเวียนผ่านเข้าเมืองชลฯ เสียหน่อย และที่สำคัญว่าจะขอขับไปบางแสน ผ่านอ่างศิลาเสียหน่อยครับ จริงๆ แล้วผมชอบถนนเส้นอ่างศิลานะครับ เพราะเป็นเส้นที่เลียบชายทะเล ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ชายหาดแสนสวย ที่เต็มไปด้วยทรายสีขาวสะอาดตา แต่ก็เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของคนในชุมชนที่เลี้ยงชีพด้วยการทำฟาร์มหอยและแกะสลักครกขายกันอยู่ริมถนน ที่เราขับผ่านไปผ่านมา ซึ่งถนนเส้นนี้นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนมองข้ามที่จะมาเที่ยว ซึ่งถือว่าน่าเสียดายอย่างมากครับ เพราะไม่น่าเชื่อว่าการมาอ่างศิลาครั้งนี้ ผมได้อะไรกลับมามากกว่าที่คิด

การจราจรในเมืองชลฯ ติดขัดพอสมควร ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกที่จะเลี่ยงเส้นทางผ่านตัวเมืองชลฯ สำหรับการเดินทางไปชายทะเลฝั่งตะวันออกของเมืองไทย

ผมเลี้ยวขวาเข้าแยกอ่างศิลา การจราจรเริ่มเบาบางลงครับ ไม่ติดเหมือนกับถนนใหญ่ และอาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ ก็เลยทำให้นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก เห็นได้จากรถราส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่นั้นเป็นทะเบียนชลบุรีทั้งนั้น

ผมขับรถมาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่รีบร้อนอะไรมากนัก สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่ เขียนไว้ว่า “ตลาดเก่าอ่างศิลา 133 ปี”

ก็เลยได้คิดว่า เดี๋ยวนี้ที่ไหนก็ฮิต “ตลาดเก่า” กันทั้งนั้น เห็นมีตลาดเก่า ตลาดน้ำ อะไรกันเต็มไปหมด ซึ่งบางแห่งก็เก่าจริง น่าเที่ยว แต่บางแห่งก็เก่าแบบพยายามจะเก่า พยายามจะสร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่ตัวตลาดนั้นได้ “ตาย” ไปแล้ว ไม่ได้มีกิจกรรมหรือเป็นศูนย์กลางการค้าขายอะไรอีกแล้ว แต่องค์กรส่วนท้องถิ่นก็พยายามจะฟื้นตลาดเหล่านั้นขึ้นมา เพื่อสร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ได้

ก็เลยไม่รู้ว่า ตลาดไหนเก่าจริง ตลาดไหนเก่าแบบเก๊ๆ

แล้วตลาดเก่าอ่างศิลาล่ะ เก่าจริงหรือเปล่าเดี๋ยวได้รู้กันครับ

อ่างศิลาที่ไม่ใช่ครกกับทะเล สภาพตลาดเก่าอ่างศิลาที่ไม่ค่อยเก่านัก

จริงๆ แล้ว อ่างศิลานั้นเป็นชุมชนเก่าแก่จริงๆ ครับ เพราะเป็นหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งชื่อเดิมของอ่างศิลานั้นมีชื่อว่าอ่างหิน เพราะเป็นแหล่งหินแกรนิตชั้นดี โดยชาวจีนแต้จิ๋วซึ่งอพยพเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้นำหินเนื้อละเอียดที่มีอยู่มากมายแถบนี้มาแกะสลัก ที่เอามาสกัดเป็นครกหินขายไปทั่วประเทศ และยังขายไปทั่วโลกอีก แต่ในปัจจุบันนี้อ่างศิลาไม่มีหินแกรนิตให้ทำหินแล้วครับ ชาวบ้านแถวนี้ต้องไปสั่งหินแกรนิตจากที่อื่นมาสกัดเป็นครก หรือเป็นเครื่องประดับอื่นๆ ขาย แต่ฝีมือการสกัดหินของชาวบ้านที่นี่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ชื่อของครกหินอ่างศิลายังไม่ตายไปจากความทรงจำ

ผมเลี้ยวรถไปตามป้ายบอกทางให้เข้าไปสู่ตลาดเก่า แล้วก็โชคดีครับ ได้ทีจอดรถหน้าตลาด ไม่ต้องเดินไกลนัก แต่แดดร้อนเหลือเกิน ใครจะมาที่นี่ เสื้อผ้า หน้าผม เตรียมให้พร้อมครับ ร้อนระยิบจริงๆ

หยิบแว่นกันแดดมาใส่ แต่ไร้ซึ่งหมวก ก็ต้องลงรถแล้วครับ ทำยังไงได้ผู้ชายทั้งแท่งจะให้นวยนาดกลัวแดดอยู่ได้ยังไง จริงๆ แล้วผมไม่ได้กลัวแดดหรอกครับ แต่กลัวดำมากกว่า
เดินลงจากรถไปตามป้ายบอกว่าเข้าสู่ตลาดเก่า ซึ่งก็เดินไปไม่ไกลหรอกครับ ไปแบบเรื่อยๆ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวตลาด ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าตลาด เพื่อดูป้ายแผนผังของตลาดเก่าแห่งนี้ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ซึ่งก็สะดุดตากับชื่อของ “ตึกมหาราช” และ “ตึกราชินี”

เลยต้องถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่า ตึกมหาราชและตึกราชินีนั้นอยู่แถวไหน แต่ที่แน่ๆ มีประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแน่ๆ อย่างนี้ค่อยสมกับเป็นตลาดเก่าหน่อย

ปรากฏว่าทั้งตึกมหาราชและตึกราชินีนั้น อยู่ตรงข้ามกับที่จอดรถนั่นเอง ก็เลยตัดสินใจเดินไปตึกทั้งสองนั้นก่อนดีกว่า ส่วนตลาดเก่าเอาไว้ก่อน แหม อยู่มาได้ตั้ง 133 ปี อีกเดี๋ยวเข้าไปเที่ยวคงไม่เก่าไปกว่านี้สักเท่าไรแน่ๆ

เดินข้ามถนนไปก็เห็นตึกทรงโบราณขนาดไม่ใหญ่นักตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล และบริเวณด้านหน้าตึกนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “ตึกราชินี” ซึ่งเป็นสถานตากอากาศชายทะเลแห่งแรกของประเทศไทย

โอ้โห!!! ไม่เคยรู้เลยครับว่า ที่นี่คือสถานตากอากาศชายทะเลแห่งแรกของไทย อูยยยย เหมือนอยู่ในกะลาเลยผม

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ยิ่งอยากรู้อยากเห็นแล้วครับว่า ตึกมหาราชและตึกราชินีนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร

อ่างศิลาที่ไม่ใช่ครกกับทะเล ตำหนักมหาราชทรุดโทรไม่น้อย

ตามบันทึกบอกไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ เสนาบดีกรมท่า หรือเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ได้ออกมาสร้างพลับพลาเฝ้าฯ รับเสด็จ เพื่อใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลอย่างอ่างศิลา ต่อมาได้สร้างอีกหลัง (หลังเล็ก) ซึ่งชาวต่างประเทศได้ไปพักอาศัยอยู่เสมอ เรียกกันในสมัยนั้นว่า “อาศรัยสถาน” และตึกทั้งสองหลังนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้งในระหว่างที่ทรงสำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประพาสยุโรป แล้วพระราชทานนามตึกหลังใหญ่ว่า “ตึกมหาราช” ตึกหลังเล็กว่า “ตึกราชินี”

นั่นคือประวัติของตึกทั้งสองครับ ส่วนประสบการณ์จริงของผมเริ่มจากตึกราชินีก่อนแล้วกันครับ เพราะอยู่ข้างหน้าผมแล้ว เป็นตึกที่มีสถาปัตยกรรมแบบอาคารก่ออิฐถือปูนขนาด 2 ชั้น หลังคาเป็นทรงปั้นหยายกจั่ว ที่สำคัญตึกทั้งหลังถูกทาด้วยสีแดง เลยทำให้ตึกนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า ตึกแดง

ก่อนที่จะเข้าไปชมตัวตึก มีป้ายบอกความเป็นมาของตึก ทำให้รู้ว่าตึกนี้ถูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยสถาปัตยกรรมที่เห็นนั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีส่วนระเบียงติดกับพื้นดินรองรับส่วนหน้าอาคารที่สัมพันธ์กับพื้นที่ดินที่เอียงลาด ซึ่งทางเดินขึ้นตึกนี้จะเป็นด้านหลังตึกครับ เพราะส่วนหน้าของอาคารหันหน้าออกทะเล มีมุขยื่นออกมาทั้งชั้นล่างและชั้นบน ชั้นล่างบริเวณมุขเป็นผนังทึบ มีประตูซุ้มโค้งตรงส่วนมุขชั้นล่าง โดยมีบานประตูรูปโค้งตามกรอบ ส่วนบนเป็นกระจก ส่วนล่างเป็นบานลูกฟักไม้ หน้าต่างบานคู่ ส่วนบนเป็นกระจกช่องแสง ลูกกรงและระเบียงเป็นปูนปั้นมะหวด

ส่วนเฉลียงระเบียงลูกกรงนั้นใช้เป็นทางสัญจรและที่รับลม ซึ่งช่างไทยออกแบบตามความต้องการของชาวต่างประเทศที่จะใช้อาคารนี้เป็นที่พักผ่อนชายทะเล

ไม่น่าเชื่อนะครับว่า อ่างศิลานั้นเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศที่มาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เลยทีเดียว ผมได้แต่ผ่านไปผ่านมาไม่รู้เรื่องกับเขาเลย

เดินขึ้นบันไดจากทางเข้า ซึ่งเป็นด้านหลังของตึก ขึ้นมายังชั้น 2 ของตำหนัก ซึ่งเป็นห้องโถงขนาดไม่ใหญ่มากนัก ด้านซ้ายและขวาของห้องโถงก็เป็นห้องโล่งๆ ที่มีภาพวิถีชีวิตของชาวอ่างศิลาติดไว้ตลอดข้างฝา อย่างเช่น ภาพพิธีแต่งงานในอดีต หรือภาพความเป็นอยู่คนชาวอ่างศิลาเมื่อเกือบ 100 ปี ว่าเป็นอย่างไร

เลยจากห้องโถงถัดมาด้านหน้าก็จะเป็นระเบียงโล่ง หันหน้าออกสู่ท้องทะเลอ่างศิลา มีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณสวนด้านหน้าตำหนักที่ให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี

ไม่น่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมที่นี่ถึงได้เป็นสถานพักตากอากาศแห่งแรกๆ ของประเทศไทย เพราะบรรยากาศแสนสบายจริงๆ ที่สำคัญตึกแห่งนี้ เจ้าจอมมารดาเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้านครเชียงใหม่ พระสนมเอกในรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพักรักษาพระองค์ที่นี่เมื่อพุทธศักราช 2449 และในขณะที่ทรงรักษาพระองค์อยู่นั้น ทรงเห็นว่า ต.อ่างศิลา กันดารน้ำจืด จึงมีพระราชประสงค์จ้างขุดบ่อน้ำจืด ประสงค์ให้ประชาชน ต.อ่างศิลา ได้มีน้ำจืดไว้ใช้ ซึ่งยังมีให้เห็นในปัจจุบัน

อ่างศิลาที่ไม่ใช่ครกกับทะเล ตึกแดง

นอกจากนี้ ยังมีป้ายบอกประวัติของคำว่า อ่างศิลา ด้วยครับ โดยเขียนไว้ว่าจากหลักฐานบันทึกถึงชื่อ “อ่างศิลา” ในยุคแรกๆ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองชลบุรี และประทับแรมที่อ่างศิลา โดยมีลายพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 9 ม.ค. พ.ศ. 2419 พรรณนา อ่างศิลา ตอนหนึ่งว่า

“...เรียกชื่อว่า อ่างศิลา นั่นเพราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูกเนิน มีศิลาก้อนใหญ่ๆ เป็นศิลาดาด และเป็นสระยาวรีอยู่ 2 แห่งๆ หนึ่งลึก 7 ศอก กว้าง 7 ศอก ยาว 10 วา แห่งหนึ่งลึก 6 ศอก กว้าง 1 วา 2 ศอก ยาว 7 วา เป็นที่ขังน้ำฝน น้ำฝนไม่รั่วซึมไปได้ ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดีเห็นว่าเป็นประโยชน์กับคนทั้งปวง จึงให้หลวงฤทธิ์ศักดิ์ชลเขตร ปลัดเมืองชลบุรีเป็นนายงานก่อเสริมปากบ่อน้ำ มิให้น้ำที่โสโครกไหลกลับลงไปในบ่อได้ ราษฎร ชาวบ้าน และชาวเรือไปมา ได้อาศัยน้ำฝนในอ่างศิลานั้น บางปีถ้าฝนตกมาก ถ้าใช้น้ำแต่ลำพังชาวบ้านก็ใช้ได้น้ำทั้งสองแห่งและบ่ออื่นๆ บ้าง พอตลอดปีไปได้ บางปีฝนน้อย ราษฎรได้อาศัยใช้แต่เพียง 5 เดือน 6 เดือน ก็พอหมดน้ำในอ่างศิลา แต่น้ำในบ่อแห่งอื่นๆ ที่ราษฎรขุดขังน้ำฝนไว้ใช้นั้นมีอยู่หลายแห่งหลายตำบล ถึงน้ำในอ่างศิลา สองตำบลนี้แห้งไปหมดแล้ว ราษฎรใช้น้ำบ่อแห่งอื่นๆ ได้...”

อ่านแล้วถึงรู้เลยว่า อ่างศิลานั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงชุมชนเก่าแก่เพียงอย่างเดียวแล้วครับ แต่ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเหลือเกิน เป็นประวัติศาสตร์ที่กบในกะลาอย่างผม ตื่นตาตื่นใจ และคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับสถาปัตยกรรมแห่งประวัติศาสตร์อย่างนี้ด้วย

เดินดูตึกแดง หรือตึกราชินี จนครบรอบแล้ว ก็มองหาตึกมหาราชว่าอยู่แถวไหน

อ้อ...อยู่ถัดไปทางขวามือนั่นเอง ตัวตึกเป็นสีขาว ทำให้ถูกเรียกอีกชื่อว่า ตึกขาว แต่ทำไมดูโทรมๆ ยังไงไม่รู้ครับ ต้องเดินผ่านเนินหินขนาดใหญ่ 2-3 เนิน ซึ่งมีบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่อยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้น้ำไม่ค่อยมีแล้วครับ

ตึกมหาราชนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ขนาดใหญ่ ตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรม เป็นการผสมผสานระหว่างไทย จีน และตะวันตก เป็นการก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา เอียงลาดมาด้านหน้าเป็นจั่วมุงกระเบื้อง ไม่มีชายคายื่นจากผนังโดยรอบ ไม่มีกันสาดบังแดดฝนให้แก่หน้าต่าง ใช้ซุ้มโค้งครึ่งวงกลมตรงชั้นล่างส่วนหน้ามุข มีบันไดทางขึ้นแยกเป็น 2 ทางขึ้นสู่มุขตรงกลางอาคาร

ผมเดินๆ ดูแล้วตัวอาคารค่อนข้างโทรมไม่น้อยเลยครับ แม้ว่าภายในของตึกขาวนั้นจะใช้เป็นสถานที่แสดงวิถีทำมาหากินของชาวอ่างศิลา แต่ว่าไม่ได้เดินเข้าไปดูด้านในครับ เพราะมืดทึมๆ ยังไงไม่รู้ ซึ่งตรงจุดนี้คงต้องฝากให้เทศบาลตำบลอ่างศิลา ซึ่งเป็นผู้ดูแลตำหนักทั้งสองแห่งนี้ ดูแลตึกขาวให้ดีกว่านี้หน่อยครับ

ออกจากตึกมหาราชแล้ว ก็กลับไปเป้าหมายเดิมของผมดีกว่า ตลาดเก่า 133 ปี อ่างศิลา อยู่ข้างหน้าแล้วครับ ผมเดินดุ่มๆ เข้าไปตามตรอกของตลาด ซึ่งร้านค้าตลอดสองข้างทางยังคงหลงเหลือความเก่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ร้านที่ถูกปรับปรุงให้ใหม่ขึ้นก็มีอยู่ไม่น้อย ทำให้รู้เลยว่าชุมชนนี้ถูกผลักดันให้กลายเป็นตลาดเก่า ทั้งๆ ที่วิถีชีวิตไม่ได้เก่าเหมือนอย่างตลาดเท่าไหร่นัก

เดินไปตามตรอกของตลาด ยังไม่ค่อยได้อารมณ์ของความเป็นตลาดเก่ามากนัก เพราะตัวอาคารบ้านช่องทั้งหลายดูดีขึ้นมาก ซึ่งจะไปว่าชาวชุมชนก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องรักษาสภาพความเก่าของตัวบ้าน ตัวร้านเอาไว้ ให้คนกรุงเทพฯ มาเที่ยว ก็เลยเป็นสภาพแบบที่เห็นครับ

ส่วนสินค้าที่เอามาขายก็เหมือนกับตลาดเก่าทั่วๆ ไปครับ ไม่มีอะไรโดดเด่น เหมือนกับเดินตลาดนัดที่มีอาหารทะเลประเภทดองน้ำปลาหรือตากแห้งเยอะหน่อยก็เท่านั้น ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ หากคาดหวังว่านี่คือตลาดเก่าที่มีอายุ 133 ปี ผมไม่เห็นร่องรอยของอดีตผ่านตลาดเก่าอ่างศิลา

สิ่งที่ผมเห็นร่องรอยอดีตที่สวยงามที่สุด คือ ตึกแดงและตึกขาวที่เทศบาลอ่างศิลาควรจะต้องอนุรักษ์และทุ่มงบประมาณในการดูแลให้มากกว่าตลาดเก่าอ่างศิลา ที่เก่าแค่เพียงคำพูด และเป็นได้แค่ตลาดนัด เอาไว้เดินเล่นยามผ่านอ่างศิลาเท่านั้น...

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 12.72 จุด DELTA ฉุดดัชนี-ไร้ปัจจัยใหม่หนุน