นิวเอจ...
ยุคนี้คนมักเข้าใจว่าอยู่ในยุคที่เรียกว่า “สมัยใหม่” เด็กรุ่นใหม่ก็มักบอกว่าตัวเองเป็นคน “ทัน สมัย”
โดย...วีรณัฐ โรจนประภา www.veeranut.com
ยุคนี้คนมักเข้าใจว่าอยู่ในยุคที่เรียกว่า “สมัยใหม่” เด็กรุ่นใหม่ก็มักบอกว่าตัวเองเป็นคน “ทัน สมัย”
แต่หากว่ากันตามหลักวิชาแล้วต้องบอกว่าปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่า “หลังสมัยใหม่” ภาษาอังกฤษเขาใช้ว่า Post Modern คือเป็นยุคที่ต่อมาจากยุค Modern
อ่านผ่านๆ หลายคนคงนึกว่าเป็นยุคที่ต่อเนื่องกัน มีการพัฒนาความรู้จากชุดเดิมไปสู่ชุดใหม่ แต่ความจริงแม้ชื่อจะพ้อง แต่เนื้อหากลับทางกันคนละขั้วกันเลย
ยุคหลังสมัยใหม่นั้น เขาปฏิเสธทุกอย่างที่มาจากยุคสมัยใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีสิ่งที่ดีที่สุดหนึ่งประการ มีความจริงแท้ร่วมกันที่ชัดเจน ขณะที่ยุคหลังสมัยใหม่เขาไม่เชื่อเช่นนั้น เขามองว่าไม่มีความจริงแท้ถาวร ไม่มีความจริงร่วมกัน ความจริงขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน
แต่ทั้งสองทางยังคงดูเหมือนจะตอบสนองการแสวงหาลึกๆ ในใจของมนุษย์ไม่ได้ แนวคิดต่างๆ จึงเคลื่อนมาอีกยุคที่ถือว่าเป็นยุคแห่งอนาคต ซึ่งบางสำนักก็เรียกว่ายุคหลังจากหลังสมัยใหม่ Post Postmodern ขณะที่บางสำนักใช้คำว่า นิวเอจ New Age
แม้จะใช้ชื่อว่า นิวเอจ แม้จะเรียกต่อเนื่องไปอีกว่าหลังของหลังสมัยใหม่ที่ดูหมือนน่าจะเป็นเรื่องทันสมัย ล้ำสมัย แต่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นเรื่องย้อนสมัยเสียมากกว่า
เพราะแก่นของยุคหลังของหลังสมัยใหม่ หรือนิวเอจนี้หนักไปทางเรื่องของจิตวิญญาณ ย้อนกลับไปสู่ธรรมชาติ ไปหาศาสนา
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
จะตอบได้คงต้องย้อนดูประวัติ ความเป็นมาของทฤษฎีในแต่ละยุคล่ะครับ เพราะทฤษฎีต่างๆ นั้นล้วนถูกสร้างขึ้นมาจนได้รับความยอมรับในสมัยของตน ที่เมื่อบริบทเปลี่ยนไปองค์ความรู้พัฒนาขึ้น ทฤษฎีก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย ซึ่งหากย้อนกลับไปอาจเห็นภาพดังนี้
เริ่มจากยุคคลาสสิก Classic ที่คนมุ่งมองเรื่องผลผลิต และวิธีการให้ได้มาซึ่งผลผลิตสูงสุด มองมนุษย์เป็นปัจจัยนำเข้าในการสร้างผลผลิต เรียกว่าเป็นยุคเห่อวิทยาศาสตร์ก็ไม่ผิด มนุษย์เริ่มรู้จักศาสตร์ใหม่ (วิทยาศาสตร์) นี้เลยเริ่มนำมาใช้สนองความต้องการของสังคมยุคนั้นเกิดแนวคิดการจัดการขึ้น
ต่อด้วยยุคนีโอคลาสสิก Neo Classic หรือคลาสสิกใหม่ ที่มนุษย์เริ่มย้อนมามองเรื่องแรงจูงใจของคนที่จะมีผลต่อผลผลิต ด้วยเรียนรู้แล้วว่าลำพังหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะผลิตงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ต้องการ ยังมีปัจจัยอื่นอีกนั่นคือเรื่องของแรงจูงใจ เกิดทฤษฎีแรงจูงใจที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ จะเรียกว่ายุคคลาสสิกคือเรื่องวัตถุ ยุคคลาสสิกใหม่คือเรื่องจิตใจก็ได้
มาถึงยุคที่เราคุ้นกันคือยุคสมัยใหม่ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ออกมาในช่วงโลกอยู่ในยุคอุตสาหกรรมที่คนเอาแต่แสวงหาผลประโยชน์ เกิดทฤษฎีบริหาร การจัดการมากมายที่จะไว้ใช้ในการสร้างการงานให้บรรลุเป้าหมาย เป็นการรวมเอาเรื่องวัตถุกับจิตใจเข้าด้วยกันอย่างมีหลักการ ซึ่งคิดเผินๆ ก็น่าจะสมบูรณ์แล้วมีการควบรวมทั้งเรื่องของวัตถุในยุคคลาสสิกกับเรื่องแรงจูงใจในยุคนีโอคลาสสิกเข้าด้วยกัน แต่พอกาลผ่านเข้าจริงๆ ความรู้ชุดนี้ก็ยังเป็นที่สงสัยของคนรุ่นต่อมาจนเกิดเป็นยุคหลังสมัยใหม่ ที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีข่าวสารอย่างเต็มที่ คนเลยเริ่มฉุกใจถึงแนวทางที่มนุษย์ใช้ดำเนินมาในยุคโมเดิร์น ที่แม้ผลทางวัตถุจะเด่นชัด แต่ผลทางจิตใจกลับยังตอบสนองไม่พอ แนวคิดนี้จึงตีกลับไปสู่อีกด้าน คือปฏิเสธความจริงหนึ่งเดียวที่จับต้องได้ที่ยุคสมัยใหม่เชื่อกันอยู่ แต่ด้วยความแรงเลยกลายเป็นตีเกินไปจนสุดขอบ จนเมื่อเรียนรู้จึงเริ่มที่จะย้อนกลับมาสู่แนวทางสายกลาง ความพอเพียง และนั่นคือยุคนิวเอจนั่นเอง
ยุคนี้นักวิชาการพยายามสร้างทฤษฎีที่เป็นสายกลาง ที่เป็นธรรมชาติแท้ หรือคืนสู่สามัญ ธรรมดา ที่สุดท้ายแล้วแนวคิดหลักที่ยอมรับกัน ทั้งยังผ่านการพิสูจน์มาอย่างยาวนานแล้วว่าเหมาะสำหรับยุคแห่งอนาคตอย่างแท้จริงก็คือ หลักคิดที่มาจากตะวันออกจนเกิดคำว่าบูรพาภิวัตน์ที่ทั่วโลกหันมาศึกษาภูมิปัญญาจากฟากนี้มากขึ้น โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไล่เรียงประวัติศาสตร์จนเห็นกันอย่างนี้แล้วต้องบอกว่าเราโชคดีมหาศาลที่ได้เกิดมาภายใต้การปกครองของพระองค์ท่านที่ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ไกลยิ่งกว่านักวิชาการคนใดในโลกยุคนี้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่าพระองค์ทรงให้ทฤษฎีแก่ชาวโลกล่วงหน้าไว้หลายสิบปีแล้ว คนทั้งโลกกำลังหันมาสนใจศึกษาเพราะเห็นช่องโหว่ของทฤษฎีที่ใช้กันอยู่มากมาย แต่เราคนไทยกันเองกลับยังมองไม่ออก ยังหัวปักหัวปำกลับเอาทฤษฎีตกยุคมาใช้ในการพัฒนา รับรองชีวิตตนเอง
ใครบอกเป็นคนสมัยใหม่ ใช้ทฤษฎี Modern ก็ทราบเถิดครับว่า คุณตกไป 2 ยุคเต็มๆ เดี๋ยวนี้เขาอยู่ New Age ใช้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐาน
ไม่เพียงแต่เรื่องของการทำธุรกิจ แต่หมายรวมถึงเรื่องชีวิตในทุกด้านด้วยที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ไว้นั้นสามารถทำให้ชีวิตคุณมีความสุขได้อย่างยั่งยืนและแท้จริง
ก็จะไม่สุขได้อย่างไรล่ะครับ เมื่อชีวิตคุณตั้งอยู่บนฐานของความรู้ ไม่ได้สักแต่ทำอะไรเห่อตามกระแสด้วยความเขลา ทั้งยังมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ อดทน ไม่ด่วนได้ ทั้งยังประกอบด้วยเหตุและผลที่มาเหนืออารมณ์ มีความพอประมาณไม่โลภจนเกินตัว และมีภูมิคุ้มกันเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ด้วยความพร้อมและครบ สามารถรองรับได้ในทุกสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ตัวแปรอิสระเป็นเช่นไร ตัวแปรตามย่อมออกมาเป็นสุขเสมอ... เห็นไหมครับ ใครทำตามพระองค์ท่านรับรองชีวิตที่รื่นรมย์ได้เลยครับ


