ฝันใหญ่...โปรแกรมเมอร์ 100 ล้าน “ทำ app ก็คือการเรียนรู้คน”
วงการนักโปรแกรมเมอร์อาจมีไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก “พงศ์” ไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล
โดย...จตุพล สันตะกิจ
วงการนักโปรแกรมเมอร์อาจมีไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก “พงศ์” ไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล เพราะตลอด 15 ปีที่ผ่านมา พงศ์ สั่งสมประสบการณ์ในหลายด้าน เริ่มต้นจากลูกจ้างโรงงานเหล็กตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ปี พงศ์ไม่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในระบบ แต่เลือกเรียนการศึกษานอกโรงเรียน( กศน. )และไม่จบแม้แต่ระดับปริญญาตรี
ในวัย 33 ปี พงศ์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารบริษัทเล็กๆที่ชื่อว่า “ทรีดีเอส อินเตอร์แอคทีฟ” บริษัทมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ ที่มีพนักงานกว่า 30 คน และรายได้มากกว่า 10 ล้านบาท เมื่อปี 2556 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักเช่นเดียวกับบริษัทกว่าครึ่งแสนที่อยู่ในสมุดหน้าเหลือง “Yellow Pages”
ฝันที่ใหญ่กว่าของพงศ์ คือ การก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่ทำรายได้ 100 ล้านบาทต่อปี โอกาสมาถึงเมื่อบริษัทของพงศ์ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ในจำนวน 40 กว่าบริษัททั่วอาเซียนที่ผ่านเข้ารอบการแข่งขันนำเสนอไอเดียผลิตแอพพลิเคชั่น ในงาน “Echelon 2014” ที่สิงคโปร์ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
พงศ์ ได้นำโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า “appoze” (แอพโพซ) บุกเข้าสู่ตลาดอาเซียนเป็นครั้งแรก
“ผมอยากมีกิจการเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นแบบอย่างคนในครอบครัว เห็นป๊า (พ่อ) เห็นอาเตี๋ย(ลุง) ทำธุรกิจ ก็เลยคิดว่าต้องมีของตัวเอง และผมคิดอยากสร้างบางสิ่งขึ้นมา ที่ให้มีคนเยอะๆ มาใช้ของเรา”พงศ์กล่าว
ก่อนจะฝันไกลจนเป็นเถ้าแก่ที่มีอายุไม่ถึง 35 ปีในวันนี้ พงศ์ เริ่มต้นจากศูนย์ และเหมือนคนทั่วไป คือ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ก่อนผันตัวมาเป็นลูกจ้างบริษัทในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์เพื่อหาประสบการณ์
ทว่าสิ่งที่เหมือนกันระหว่างพงศ์กับบรรดาเถ้าแก่น้อยคนอื่นๆ คือ พงศ์ถามตัวเองว่า เขาต้องการทำอะไร และธุรกิจอะไรที่จะเฟื่องฟูในอนาคต
“ก่อนอื่น ผมถามตัวเองว่า ผมจะเรียนอะไร ระหว่างนั้นช่วยโรงงานเหล็กของญาติที่บ้าน ผมรู้เพียงว่าผมอยากประสบความสำเร็จ ต้องออกตัวก่อนว่า ถึงแม้ญาติและพ่อจะเป็นแบบอย่าง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผมอยากประสบความสำเร็จที่รุ่นผม”พงศ์บอก
สุดท้าย พงศ์ได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว คือ เขาสนใจ 2 อาชีพ คือ เป็นนักเขียนโปรแกรม หรือไม่ก็เป็นนักการตลาด แต่ในที่สุดพงศ์ตัดสินใจเลือกทางเดินในสายที่จะพาเขาไปเป็นโปรแกรมเมอร์
“ผมมานึกว่าอะไรในอนาคตที่เราทำแล้วจะประสบความสำเร็จได้ ในสมองผมตอนนั้น คือ การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง) กับอีกทางคือ คอมพิวเตอร์ เพราะอนาคตคอมพิวเตอร์ ต้องหลากหลายขึ้นแน่ นี่คือเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมคิดแบบนี้ ผมจึงชั่งใจว่า จะศึกษาด้านไหนดี และเหตุผลที่ผมไม่เอาการตลาด เพราะการตลาดจะต้องมีของ (สินค้า)ก่อน”พงศ์บอก
“เรารู้ว่าสิ่งนี้ (การเป็นโปรแกรมเมอร์) เราทำได้ดีกว่าคนอื่น อีกทั้งในตอนนั้น ผมไม่มีตังค์ ผมสร้างของไม่ได้ ขณะที่การเรียนด้านการตลาดก็คงไม่ช่วยอะไร เพราะเราไม่สามารถสร้างอะไรมาขายได้”พงศ์ย้ำ
เมื่อตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางโปรแกรมเมอร์ในวัย 16 ปี พงศ์ เริ่มอ่านหนังสือการเขียนโปรแกรมเล่มแล้วเล่มเล่า
“ผมเริ่มจากหนังสือง่ายๆก่อน คือ หนังสือเขียนโปรแกรมที่เป็นภาษาไทย ผมอ่านหนังสือ แล้วเขียนโฟร์ชาร์ท (ขั้นตอนการทำงานโปรแกรม) ในกระดาษ เพราะตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ และคงไม่มีปัญญาที่จะมีด้วย เพราะตอนนั้นราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ปาเข้าไป 7-8 หมื่นบาทต่อเครื่องแล้ว”พงศ์กล่าว
พงศ์ในวัย 1617 ปี และกำลังศึกษาในระดับ ปวช. บอกว่า ผมเลือกที่จะเรียนวิชาที่อยากเรียน และผมจะโดดเรียนไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของครูที่สอนเป็นประจำ ใช้คอมพิวเตอร์ของครู และเพื่อนที่รู้จัก เป็นลานฝึกปรือทักษะและฝีมือตามที่อ่านจากตำราทั้งที่เป็นฉบับภาษาไทย ก่อนขยับเป็นตำราภาษาอังกฤษทั้งหมด
พงศ์เริ่มต้นจากการสร้าง “เว็ปไซต์” ซึ่งเป็นของใหม่ในเวลานั้น และเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการออกแบบและสร้างเว็ปไซต์เป็นของตัวเอง ก่อนส่งเว็ปไซต์แรกเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ต (www.) คือ สคูลแพลนท์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับโพสต์วิดีโอการศึกษาแล้วให้เด็กมาเรียนออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต และเรซูเม่การ์เด้นท์ ซึ่งคล้ายๆกับ JOBDB.COM ในตอนนี้
แต่ทั้ง 2 เว็บไม่ได้รับการตอบรับ พงศ์ ยอมรับว่า “ล้มไม่เป็นท่า” แม้จะมีเนื้อหาที่มีประโยชน์มากก็ตาม
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พงศ์ เขียนโปรแกรมตัวแรกในชีวิต เมื่ออายุได้ 19 ปี ในขณะที่เขาเปิดร้านซ่อมจอคอมพิวเตอร์ที่ห้องเช่าเล็กๆที่อยู่รวมกัน 3 พี่น้องย่านรามคำแหง พร้อมกับการเรียนรู้ ฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษผ่านลูกค้าหลายเชื้อชาติที่มีทั้งคนผิวดำ ฝรั่งหัวสีทอง ที่พูดภาษาอังกฤษ
“โปรแกรมตัวแรกผม ที่เขียนไม่สำเร็จนะ ตอนนั้นเริ่มเรียนที่รามฯ จึงคิดว่า เราน่าจะรับงานมาทำ จึงติดต่อร้านอะไหล่เพื่อทำโปรแกรมสต็อกคอนโทรล แต่ตัวนั้นทำไม่จบ เพราะผมประเมินความซับซ้อนของโปรแกรมร้านอะไหล่น้อยไป ผมคิดว่า มันทำได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ อีกอย่างเป็นเพราะเพราะซอฟท์แวร์ที่ผมนำมาใช้ยังไม่ดีพอ (JAVA) และที่สำคัญตอนนั้นผมเก่งไม่พอ”พงศ์เล่า
งานเขียนโปรแกรมชิ้นแรกที่ล้มเหลว ไม่ได้ทำให้พงศ์ท้อ พงศ์คิดต่อว่า “แล้วเราจะทำอะไรขายต่อไปดี”
“ผมคิดว่า การรับจ้างงานเป็นชิ้นๆ จะขายได้สำหรับคนๆเดียว ก็เลยคิดว่า ทำอะไรที่ทำครั้งเดียวแล้วใช้ได้หลายคน จึงคิดถึงโปรแกรมลักษณะเดิม แต่สร้างไว้สำหรับร้านค้าต่างๆ เป็นโปรแกรมสำหรับร้านวิดีโอและร้านหนังสือ ผมจึงเริ่มต้นเขียน ใช้เวลา 3 เดือนเสร็จ จากนั้นไปเร่ขายเอง ตอนนั้นเสนอขาย 2 หมื่นบาทต่อโปรแกรม”
พงศ์นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์กับน้องชายคนเล็ก เร่ขายโปรแกรมจัดการร้านหนังสือและร้านวิดีโอทุกซอยในย่านรามคำแหง เดินไล่ทีละร้าน ทีละซอย สุดท้ายมีมีร้านวิดีโอติดต่อขอซื้อโปรแกรม คือ ร้านกรีนบอกซ์ ที่เสนอซื้อโปรแกรมในราคา 1หมื่นบาท และพงศ์รับข้อเสนอ ปีนั้นน่าจะเป็นราวปี 2546-47 หรือเกือบ 10 ปีมาแล้ว
ในระหว่างนั้น พงศ์ ขายโปรแกรมตัวเดียวกันนี้ให้แก่ร้านหนังสืออีกแห่งหนึ่งในราคา 3,000 บาท โดยยอมให้จ่ายเงินผ่อน
“ผมรู้ว่า ร้านเล็กๆ ไม่รู้ว่าโปรแกรมตัวหนึ่งราคาเป็นหมื่น เพราะร้านค้าเหล่านั้น จะคิดว่าโหลดเอาก็ได้ แม้โปรแกรมฟรีที่โหลดจะมีข้อจำกัด จากประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ผมเริ่มคิดว่า แย่แล้ว ถ้าสามเดือนผมนั่งเขียนโปรแกรม วิ่งขายอีก กลับมาแบบนี้ ผมไม่ประสบความสำเร็จแน่ๆ ผมไม่สามารถขายโปรแกรมหลักแสนได้”พงศ์ทบทวนบทเรียน
นั่นทำให้พงศ์ย้อนกลับมาคิดในจุดเริ่มต้น “ผมเรียนรู้ว่า การตลาดเป็นสิ่งจำเป็น มันกลับมาขาแรกที่ผมเคยคิดไว้ว่า ต้องศึกษาการตลาด”
ในขณะที่กระเป๋าเงินเริ่มแห้ง พงศ์ จำเป็นต้องกลับมาตั้งต้นที่การเป็นลูกจ้าง ทั้งๆที่ไม่จบปริญญาตรี เพียงแต่มีประสบการณ์ด้านการเขียนโปรแกรมภายใต้ภาษาที่คนไทยเวลานั้นยังไม่รู้จัก คือ “เอเอสพี ดอทเน็ต” ซึ่งพัฒนามาจากภาษาเขียนโปรแกรมที่ชื่อ “เอเอสพี” ของบริษัทไมโครซอฟท์
“ตอนนั้นเพื่อนติดต่อมาว่ามีคนอยากได้ไปทำงาน ผมบอกที่ที่สมัครว่าผมไม่จบปริญญาตรี แต่พอดีว่าตอนนั้น เจ้าของบริษัทกำลังต้องการโปรแกรมเมอร์ที่เขียนโปรแกรมด้วยภาษา “เอเอสพี ดอทเน็ต” ได้ เพราะโปรแกรมเมอร์ในบริษัทของเขาเขียนเป็นแต่เอเอสพี ผมเรียกเงินเดือนไป 8 หมื่นบาท ทำงาน 5 วัน และมีหน้าที่เทรนพนักงานในบริษัท 20 คน
ในวัย 21 ปี พงศ์เริ่มเข้าสู่อาชีพโปรแกรมเมอร์เต็มตัว ในยุคที่ Hotmail msn sanook และgoogle เป็นที่รู้จักในไทย แม้นายจ้างจะต่อรองเงินเดือนเหลือ 4 หมื่นบาท ให้ทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ด้วยความสนุกกับงาน เงื่อนไขเงินเดือน 4 หมื่นบาทต่อเดือน พงศ์ไปทำงานเพิ่มจาก 3 วัน เป็น 4 วันและ 5 วัน บางวันนอนค้างที่บริษัท
“ผมสนุกกับมัน ผมสนุกกับการเจอลูกค้าจริง งานจริง ได้สอนคนอื่น ได้ทำงานในสถานการณ์จริง ผมเคยแต่เรียนรู้เอง พอได้เจองานจริงก็สนุกเพราะได้เรียนรู้มากขึ้น ได้พัฒนาตัวเอง”พงศ์เล่า
อย่างไรก็ตาม พงศ์ไม่ทิ้งความฝันที่จะเป็นเถ้าแก่ พงศ์ทำงานที่บริษัทแห่งนี้เพียง 6 เดือน และลาออกมาเป็นโปรแกรมเมอร์อิสระ พงศ์เรียนรู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะการกลับมาสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะภาษาอังกฤษ เพราะเป็นทักษะของนักโปรแกรมเมอร์ทั่วโลก แต่เป้าหมายการเป็นเถ้าแก่ก็พับลงอีกครั้ง
“ตอนนั้นผมกำลังจะอดตาย มันมีเงินใช้น้อยมาก หลังจากลาออกมา 6 เดือน ผมก็เลยไปสมัครงาน บริษัทโอเพ่นเฟส อินเตอร์เน็ต เป็นบริษัทจากแคนาดา จะสังเกตได้ว่าผมสมัครแต่บริษัทฝรั่ง เพราะอยากฝึกภาษาอังกฤษที่ผมศึกษามา ผมทำเรซูเม่ให้สวยที่สุด เมื่อเขาเปิดทำเรซูเม่ของผมเขาต้องรู้สึกว่ามันเจ๋ง ผมทิ้งใบสมัครไว้ 23 วัน ทางบริษัทก็เรียกผมไปคุยและรับเข้าทำงานเลย”พงศ์เล่า
เมื่อทำงานได้เพียง 1 ปี พงศ์รู้สึกถึงความซ้ำซากในทำงานที่ทำให้สมองของเขาเฉื่อยลง
“วันที่ผมจะออก ผมรู้สึกว่าเบื่อความซ้ำซาก จนเป็นโรคกระเพาะอาหาร และผมคิดว่า นี่เป็นสัญญาณว่าผมควรมูฟออกไปได้แล้ว และกลับไปเติมในสิ่งที่ผมขาด อยู่ คือ การตลาด"
กระทั่งในปี 2550 พงศ์ สมัครเข้าทำงานในบริษัท “เอ็มอินเตอร์ แอกชั่น” ซึ่งเป็นบริษัททำมาร์เก็ตติ้ง ออนไลน์ให้กับแบรนด์ดังต่างๆ ที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่นี่พงศ์และเพื่อนร่วมงานได้เปิดประสบการณ์ใหม่ของการตลาดบนโลกออนไลน์ ด้วยเทคนิคทำการตลาดผ่านเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง facebook เช่น แบรนด์โออิชิ (ชาเขียว) การทำนายดวงรายวัน โดยแมวญี่ปุ่น (มาเนกิเนโกะ)
พงศ์และทีมงานอีก 34 ทีมในบริษัท ทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์ให้แบรนด์ต่างๆ 40 แคมเปญต่อเดือน เช่น เซ็นทรัล สเปรย์ดับกลิ่นกาย “แอกซ์” ขวดน้ำรักษ์โลกแบบบิดได้ของ “ไทยน้ำทิพย์” แต่ละแคมเปญมีคนเข้าชมอย่างน้อย 2 แสนคน
ผ่านมา 4 ปี พงศ์รู้สึกว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคนิคโปรแกรมมิ่ง และมาเก็ตติ้ง จึงปรึกษากับเพื่อนอีก 2 คนออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง
“ตอนนั้น ไม่มีตังค์ มีแต่ความหวัง มีแต่ดรีม (ความฝัน) เราก็คุยกัน ผมคนชวนก็บ้า คนรับก็บ้า เราเปิดบริษัทกัน ชื่อ ทรีดีเอส อินเตอร์แอกทีฟ ในเดือน มิ.ย.2554 เราทิ้งเงินเดือน เดือนละ 5 หมื่นและไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง” พงศ์เริ่มต้นฝันถึงการเป็นเถ้าแก่อีกครั้งในยุคที่สมาร์ทโฟนกำลังมา iPhone 3 เริ่มเข้ามาในตลาด พร้อมกับไอคอนบนมือถือเรียกว่า “App-application”
พงศ์และทีมงานในบริษัททำหน้าที่คิดแผนการตลาดในรูปแบบต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นให้แก่บริษัทห้างร้านทั้งเล็กใหญ่ จนกระทั่งจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 10 คนเป็น 30 คน ได้รับงานทั้งการโปรโมทองค์กรผ่านเว็บไซต์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ โดยชิ้นแรกเป็นงานโฆษณาให้กับโครงการรณรงค์เลิกเหล้าบุหรี่ และชวนผู้คนให้ทำความดีของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) งานชิ้นนี้สร้างรายได้ให้บริษัท 3 แสนบาท
ต่อมาพงศ์และทีมงานได้สร้างสรรค์แบรนด์มาร์เก็ตติ้งให้บริษัทต่างๆ เป็นร้อยแห่ง เช่น ทำมาร์เก็ตติ้งให้ “แสนสิริ” เทสโก้ โลตัส และ Dealfish เป็นต้น โดยการทำงานเป็นไปในลักษณะของบริษัทเอาต์ซอร์ส คือบริษัทเอเยนซีโฆษณารายใหญ่ว่าจ้างบริษัทของพงศ์เพื่อรับงานต่อ ขณะที่คู่แข่งบริษัทพงศ์ในวงการนี้มีประมาณ 10 บริษัท
จากจุดเริ่มการมีบริษัทเป็นของตัวเอง ทำแบรนด์มาร์เก็ตติ้งให้บริษัทชั้นนำต่างๆ พงศ์จึงสร้างแอพพลิเคชั่นใหม่ขึ้นเอง ในชื่อว่า “แอพโพซ” เครื่องมือสำหรับร้านค้ายุคใหม่ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการแรกเริ่มของพงศ์ ที่หวังให้โปรแกรมของเขาสามารถเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมาก ก่อนส่งผลงาน “แอพโพซ” ไปโชว์ตัวไกลถึงสิงคโปร์ และถือเป็นก้าวแรกของ “ทรีดีเอส อินเตอร์แอกทีฟ” ในอาเซียน
“เราต้องการให้คนในอาเซียนรู้จักเรา จุดมุ่งหมายเราไม่ใช่จะไปชนะ เราต้องการไปขายนักลงทุน ไปหาพาร์ตเนอร์ที่จะลงทุนให้เรา และเราก็ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนชาวสิงคโปร์”
พงศ์ยังสะท้อนทัศนคติในการเป็นเจ้าของกิจการ หรือเถ้าแก่ของเขาว่า
“เราต้องทำแล้วเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผิดพลาด แล้วเปลี่ยนให้เร็ว จะพลาดก็พลาดให้เร็ว เพราะทำอะไรแต่แรก มันต้องมีพลาด สมมติผมทำแอพโพซวันแรกๆ ผมต้องมีพลาดนู่นพลาดนี่ แต่ผมต้องเรียนรู้ว่าพลาด ผมเรียนรู้แล้ววันพรุ่งนี้ผมเปลี่ยน พลาดเร็วก็ต้องแก้เร็ว นอกจากนี้การทำapp ก็คือการเรียนรู้คน และเรียนรู้ตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร และทำไม ผมเรียนรู้ไปด้วยแล้วปรับปรุงตลอดเวลา”
ที่สำคัญ “เมื่อทำแล้วเราต้องไม่หยุด และต้องมองไปในสิ่งใหญ่กว่าเรา เช่น ถ้าผมมอง Amazon.com ผมก็จะไม่คิดว่าเราเก่งแล้ว เราจะคิดว่าเรายังไม่เก่ง และเร่งสปีดตลอดเวลา และเราต้องคอยปลูกฝังทีมงานตลอดว่า คุณทำได้ดีกว่านี้ๆ” พงศ์กล่าวในตอนท้ายการสนทนา


