posttoday

วิชชาจรณสัมปันโน 3

27 เมษายน 2557

วิชชาที่ได้แสดงแล้วนั้น คือ วิชชา 3 เดิมอีก 5 คือ

วิชชาที่ได้แสดงแล้วนั้น คือ วิชชา 3 เดิมอีก 5 คือ ทิพพจักษุ ทิพพโสตวิชชา อิทธิฤทธิวิชชา ปรจิตตวิชชา มโนมยิทธิวิชชา วิปัสสนาวิชชา นี้เป็นวิชชา 8 แต่ในทิพพจักษุ ทิพพโสต และปรจิตตวิชชา มโนมยิทธิวิชชา นั้น ก็ไม่สู้สำคัญอะไรนัก ถ้ายังไม่แก่กล้าในองค์ฌานแล้วก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจักไม่อธิบาย

จักได้อธิบายแต่ในข้อสำคัญ คือ วิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นวิชชาอย่างประเสริฐของพระองค์เท่านั้น

ส่วนวิปัสสนากรรมฐานนั้นอย่าง 1 วิปัสสนาญาณนั้นอย่าง 1 ในวิปัสสนากรรมฐานนั้น คือ รู้ความเกิดและความดับแห่งนามและรูป ดังเช่นสมถกรรมฐาน มีภาวนาอย่างเดียวจะระลึกในบทพุทธคุณ หรือธรรมคุณ สังฆคุณก็ตาม ก็ภาวนาตะพัดไป ไม่ต้องรู้ข้างหน้าข้างหลังว่า พระอรหัง มีคุณอย่างไรหรือ เป็นอย่างไรก็ไม่เข้าใจทั้งสิ้น

ภาวนาไปอย่างเดียวเพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์

วิชชาจรณสัมปันโน 3

เมื่อจิตสงบระงับเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต

นั่นเป็นส่วนของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน

ส่วนวิปัสสนาญานนี้เป็นพระญาณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ด้วยพระวิปัสสนาญาณนี้เอง

เมื่อได้ทรงบำเพ็ญเพียรมาถึง 6 ปีแล้ว ในวันที่จะตรัสรู้นั้น ทรงพิจารณาในปฏิจจสมุปบาทนั้นแจ้งชัด

ปฏิจจสมุปบาทนี้ เรียกว่าปัจจยาการ เป็นอาการ 12 หรือ 13 อย่าง คือ อวิชชา ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเป็นอะไร เกิดมาแต่อะไร ครั้นไล่ไปว่าเกิดมาแต่อะไรก็เกิดมาแต่พ่อแม่ พ่อแม่เกิดมาแต่อะไร เกิดมาแต่ปู่ย่า ปู่ย่าเกิดมาแต่อะไร ไล่ๆ ไปก็เลยจน ไม่รู้ว่าจะไปทางใด ความไม่รู้นี้แหละ จึงให้เกิดสังขารปรุงขึ้นแต่งขึ้นเป็นมือเท้า ตน ตัว หัว ขา เหล่านี้แหละ เต็มไปด้วยสังขารทั้งหมด เมื่อเป็นสังขารทั้งหมดดังนี้ จึงให้เกิดวิญญาณความรู้ ความรู้รู้ทั่วหมดที่สังขารปรุงไว้เท่าไรก็มีความรู้เท่านั้น

เมื่อมีความรู้เช่นนี้จึงมีนามขึ้น ก็เป็นนามไปหมด มี มือ เท้า ตัว ตน หัว ขา นี่แหละเป็นต้น เป็นนามทั้งสิ้น

เมื่อเป็นนามแล้วก็เป็นรูป จะชี้ตรงไหนก็เป็นรูปไปทั้งนั้น เมื่อเป็นรูปแล้วจึงเป็นอายตนะ คือเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเป็นอายตนะ แล้วจึงเกิดผัสสะ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์

เมื่ออายตนะกับผัสสะกระทบกันแล้ว จึงเกิดเวทนา 6 คือ เวทนา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เวทนานั้นแบ่งเป็น 3 คือ สุข 1 ทุกข์ 1 ไม่สุขไม่ทุกข์ 1 เมื่อเกิดเวทนาเช่นนี้แล้วจึงเกิดตัณหา ตัณหาในเวทนา 6 อย่างนั้น อย่างที่พอใจก็อยากได้ อย่างที่ไม่พอใจก็ไม่อยากได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา หรือเป็นลูกเป็นหลานของเราดังนี้

เมื่อมีอุปาทาน จึงเป็น ภโว เป็นภพขึ้น คือ ความมีอยู่เป็นอยู่เช่นนี้ เมื่อมีภพแล้วจึงมีชาติ ความต่อไว้ซึ่งภพนั้นๆ ถ้าไม่มีชาติ ภพก็มีอยู่ไม่ได้ เมื่อชาติมีอยู่จึงมีชรา มรณะ คือ ความเปลี่ยนไปแปลงไปนั้น เป็นชรา ความหมดไปสิ้นไปนั้นเป็นมรณะ

เมื่อทรงทราบฉะนี้แล้วจึงไล่ต่อไปอีกว่า สังขารนี้มาแต่อะไร ก็ได้ความว่ามาแต่ความไม่รู้ คือ อวิชชา จึงเกิดสังขาร วิญญาณ นาม รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ หรือเติมโสกะปริเทวะอีกก็ได้

เหล่านี้เป็นเหตุมาจากอวิชชาทั้งสิ้น

เมื่ออวิชชาดับ จึงเห็นสังขารและวิสังขาร เมื่อเพิกอาการ 13 อย่าง ออกเสียได้ก็เป็นบุญญาภิสังขาร ถ้ายังติดอยู่ในอาการเหล่านี้เป็นอบุญญาภิสังขาร เมื่อเห็นความเป็นเองของสังขารเหล่านี้ ว่าเป็น ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ดังนี้แล้วจึงเป็นอเนญชาภิสังขาร เมื่อยังเป็นอบุญญาภิสังขารอยู่ตราบใด ก็ชื่อว่ายังอยู่ในอวิชชา 8 อวิชชา 8 อย่างนั้น คือ ปุพฺพนฺเต อญฺญาณํ ไม่รู้จักเบื้องต้นอย่าง 1 อปรนฺเต อญฺญาณํ ไม่รู้จักเบื้องปลายอย่าง 1 ปุพฺพนฺตาปรนฺเต อญฺญาณํ ไม่รู้จักทั้งเบื้องต้นเบื้องปลายอย่าง 1 ทุกฺเข อญฺญาณํ ไม่รู้จักทุกข์อย่าง 1 ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ ไม่รู้จักสมุทัยอย่าง 1 ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ ไม่รู้จักนิโรธคือความดับทุกข์อย่าง 1 ทุกฺขนโรธคามินิยา ปฏิปทาย อญฺญาณํ ไม่รู้จักทางปฏิบัติถึงความดับทุกข์อย่าง 1 ปฏิจฺจสมุปฺปาเท อญฺญาณํ ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทอย่าง 1

รวม 8 อย่างนี้เรียกว่า อวิชชา

อาการที่ไม่รู้จักเบื้องต้นนั้น คือ ไม่รู้จักความเกิดที่เป็นปัจจุบัน เป็นตัวชาติซึ่งสำหรับต่อภพ ภพที่จะตั้งอยู่ได้ก็เพราะชาติ มีบริโภคอาหารหรือเปลี่ยนอิริยาบถ หรือทำอุจจารกิจ ปัสสาวกรรม เป็นต้น เช่นนี้เป็นอาการของความเกิดที่เป็นปัจจุบัน

ส่วนเบื้องปลายนั้น ก็ได้แก่ ความแก่ ความตายที่เป็นปัจจุบัน คือ แก่อยู่เสมอ ตายอยู่เสมอ

อาการที่แก่อยู่เสมอนั้น ได้แก่ อาการที่เปลี่ยนไปแปลงไปเช่นนี้ จึงเป็นแก่อยู่เสมอ

ส่วนที่หมดไปสูญไปนั้นเป็นอาการของตายอยู่เสมอ

ที่ไม่รู้จักทั้งเบื้องต้นทั้งเบื้องปลายนั้น ก็คือ ไม่รู้จัก ชาติ มรณะ ที่เป็นตัวปัจจุบัน ที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักสมุทัยความก่อให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักนิโรธคือความดับทุกข์ ไม่รู้จักปฏิปทาทางดับทุกข์ ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทนี้ก็เพราะไม่รู้ตัวปัจจุบันนธรรม

เมื่อปัจจุบันนธรรมปรากฏเช่นนี้ อวิชชาจึงดับกลับเป็นวิชชา เมื่อกลับเป็นวิชชา สังขารจึงดับกลับเป็นวิสังขาร เมื่อเป็นวิสังขารแล้ว นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ จึงดับหมด คงอยู่แต่ตัวธรรมดา คือ ตัวธรรมฐิติ เป็นอเนญชาภิสังขาร ที่รู้ดังนี้แล้วก็ไม่ใช่จะหมดไปไหน ยังอยู่ แต่ที่อยู่นั้นก็เป็นบัญญัติ เป็นสมมติ ผู้ที่จะต้องการไปพระนิพพาน แต่ยังติดอยู่ในนามรูปเช่นนี้แล้ว จักไปอย่างไรได้ เพราะพระนิพพานเป็นของละเอียดนัก

ส่วนนามรูปเป็นของหยาบและเป็นของหนักจักพาไปอย่างไรได้ อย่าว่าแต่พระนิพพานเลย แม้แต่พระโสดาก็ยังไม่ไหว เมื่อพุทธบริษัทได้สดับดังได้บรรยายมานี้ จงอุส่าห์ตรวจตรองให้แจ่มแจ้งขึ้นแก่ตนดังพรรณนามาฉะนี้

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย