posttoday

การบริโภคแต่พอดี

27 เมษายน 2557

ไม่ว่ายุคสมัยใด ปัญหาหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเสมอก็คือ เรื่องของการบริโภคเกิดพอดี

ไม่ว่ายุคสมัยใด ปัญหาหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเสมอก็คือ เรื่องของการบริโภคเกิดพอดี แม้ในสมัยพุทธกาล พระราชาคือ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงบริโภคเกินพอดีทำให้ ทรงอึดอัด มีอาการอาหารไม่ย่อยจนพระเสโทไหล ราชบุรุษต้องยืนประคองทั้งสองข้างพัดวีอยู่ แต่ก็ยังไม่อาจบรรทมได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้คาถา ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ได้สั่งให้มหาดเล็กเรียนไว้ คือ จำไว้แล้วให้กล่าวในเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหาร โดยให้ค่าจ้างในการกล่าวคาถานี้ ถึงวันละ 100 กหาปณะ แก่มหาดเล็กนั้น

คาถาซึ่งมาในพระสูตรชื่อ “โทณปากสูตร” มีอยู่ว่า

“มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา

ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า อายุยืน”

จากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงดำรงอยู่โดยมีพระกระยาหารพอประมาณ มีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วเปล่งอุทานว่า

“พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้งสอง

คือ ประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้าหนอ”

ความในอรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนมหาดเล็กว่าจงอย่ากล่าวคาถานี้พร่ำเพรื่อ จงยืนในที่ใกล้พระราชา อย่ากล่าวเมื่อเสวยพระกระยาหารก้อนแรก พึงกล่าวเมื่อทรงถือก้อนสุดท้าย พระราชาทรงได้ยินแล้ว จักทรงทิ้งก้อนข้าว เมื่อเป็นดังนั้น เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็พึงชักถาดออกมานับเมล็ดข้าว ดูว่าได้เท่าใด แยกกับข้าวออก วันรุ่งขึ้น ก็พึงลดข้าวสารเสียเพียงเท่านั้น พึงกล่าวเฉพาะในเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า อย่ากล่าวในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น เพราะวันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสวยพระกระยาหารเช้ามาแล้ว จึงเสด็จมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น พระเจ้าปเสนทิโกศลจะทรงระลึกถึงคำของพระทศพลได้เอง ก็จะทิ้งก้อนข้าวลงในถาด เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ให้ชักถาดออกเอามานับเมล็ดข้าว วันรุ่งขึ้นก็ลดข้าวสารเสียเท่านั้น ดังนี้

มหาดเล็กได้ไปที่สำนักของพระตถาคตทุกวัน ต่อมาพระพุทธตรัสถามว่า พระราชาเสวยเท่าไร เขาได้ทูลตอบว่า ข้าวสุกทะนานหนึ่ง พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ด้วยปริมาณเพียงเท่านี้ นับว่าเหมาะสม แต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่ากล่าวคาถาเลย พระราชาก็ดำรงอยู่ในปริมาณนั้นนั่นแหละ

นับว่าเป็นวิธีการที่แยบยล การที่พระเจ้าปเสนทิโกศล กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้งสอง คือ ประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้านั้น ประโยชน์ปัจจุบัน คือ ความที่พระราชามีพระสรีระสละสลวย ส่วนประโยชน์ภายหน้า หมายถึง ศีล ด้วยว่า ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ย่อมชื่อว่าเป็นองค์ (ส่วน) ของศีล

การทางอาหารมาตามใจปาก ก็คือ ตามใจกิเลส คือ ความติดในรส ซึ่งก็เป็นความโลภประเภทหนึ่งนั่นเอง จะเห็นได้ว่า ศีล 8 เป็นต้น มีข้องดเว้น การทานโภชนะในเวลาวิกาล คือ หลังเที่ยงจนถึงก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่ และหากมองให้ดีแล้ว แม้ศีล 5 ก็มีข้อเกี่ยวกับการทานเช่นกัน คือ ของมึนเมา ดังนั้น การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ก็เข้าในหมวดของศีล

การรับประทานมากเกินไป ย่อมทำให้ได้รับเวทนา คือ ความอึดอัดเป็นต้น รวมทั้งความลำบากต่างๆ ด้วยความมีสรีระที่เกินประมาณ ทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆ และแม้การเคลื่อนไหวก็ลำบาก ทั้งยังทำให้เกิดความเกียจคร้าน ง่วงเหงาหาวนอนไม่กระฉับกระเฉง ทั้งทางกายและความคิดสติปัญญา อีกทั้งการทานเกินประมาณบางอย่างเป็นไปเพื่อกามราคะ คนทานมากเกิน ย่อมแก่เร็ว และอาจนำไปสู่โรคภัยต่างๆ ซึ่งทำให้มีอายุสั้นได้

เราท่านทั้งหลายก็สามารถได้รับประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้าได้เช่นกัน ด้วยการรู้จักประมาณในการรับประทาน...

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68