ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ขึ้นชื่อว่าความไม่สบาย ความป่วยไข้ ย่อมเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ขึ้นชื่อว่าความไม่สบาย ความป่วยไข้ ย่อมเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นความป่วยกาย ป่วยใจ และแม้แต่ความตาย วันนี้ MQ จึงขอนำธรรมะจากพระสูตรชื่อ “คิลายนสูตร” ซึ่งว่าด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ 4 ประการ
เชื่อว่าในชีวิตเราคงจะต้องมีโอกาสได้ปลอบผู้ที่ป่วยไข้ ได้รับความทุกข์ หรือผู้เป็นไข้หนักใกล้ต่อความตาย เรื่องในพระสูตรนี้อาจนำมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม จะได้ระดับไหนคงต้องขึ้นอยู่กับปัญญาทางธรรมและบุญกุศลที่ผู้นั้นสั่งสมมาด้วย อย่างไรก็ตาม พระสูตรนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง
ความมีโดยย่อว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ ภิกษุหลายรูปได้ช่วยทำการตัดเย็บจีวร ด้วยว่า เมื่อจีวรของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ก็เสด็จจาริกไปที่อื่นโดยล่วง 3 เดือนเจ้าเมืองคือพระเจ้ามหานามะ ได้ทรงสดับข่าวนั้น จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามสรุปความว่า อุบาสกผู้มีปัญญา ควรกล่าวสอน อุบาสกผู้มีปัญญาซึ่งกำลังป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก อย่างไร
พระพุทธองค์จึงได้แสดงธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ 4 ประการว่า ท่านจงเบาใจเถิด
- ท่านมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
- ท่านมีความเลื่อมใสในพระธรรม
- ท่านมีความเลื่อมใสในพระสงฆ์
- ท่านมีศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ
นอกจากนั้น พระผู้มีพระภาคยังทรงให้ถามอุบาสกผู้มีปัญญา ผู้ป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ด้วยว่า
ท่านมีความห่วงใยในมารดาและบิดาอยู่หรือ ถ้าเขากล่าวว่า เรายังมีความห่วงใย พึงกล่าวว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าแม้ท่านจักกระทำความห่วงใยในมารดาและบิดา ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำความห่วงใยในมารดาและบิดา ก็จักตายไปเหมือนกัน ขอท่านจงละความห่วงใยในมารดาและบิดาของท่านเสียเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เราละความห่วงใยในมารดาและบิดาของเราแล้ว
ก็ให้ถามต่อไปว่า ท่านยังมีความห่วงใยในบุตรและภรรยาอยู่หรือ ถ้าเขากล่าวว่า เรายังมีความห่วงใย พึงกล่าวว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าแม้ท่านจักกระทำความห่วงใยในบุตรและภริยา ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำความห่วงใยในบุตรและภริยา ก็จักตายไปเหมือนกัน ขอท่านจงละความห่วงใยในมารดาและบิดาของท่านเสียเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เราละความห่วงใยในบุตรและภริยาของเราแล้ว
พึงถามต่อไปว่า ท่านยังมีความห่วงใยในกามคุณ 5 อันเป็นของมนุษย์อยู่หรือ ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เรายังมีความห่วงใยในกามคุณ 5 อันเป็นของมนุษย์อยู่ พึงกล่าวกับเขาว่า กามอันเป็นทิพย์ดีกว่าประณีตกว่ากามอันเป็นของมนุษย์ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์ แล้วน้อมจิตไปในพวกเทพชั้น จาตุมหาราชเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากกามอันเป็นของมนุษย์แล้ว จิตของเราน้อมไปในพวกเทพชั้นจาตุมหาราชแล้ว
แล้วกล่าวต่อไปว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ดีกว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นจาตุมหาราช ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพวกเทพชั้นจาตุมหาราช แล้วน้อมจิตไปในพวกเทพชั้นดาวดึงส์เถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราน้อมไปในเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว
พึงกล่าวต่อไปว่า พวกเทพชั้นยามาดีกว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ...พวกเทพชั้นยามาดีกว่าดาวดึงส์ ... พวกเทพชั้นดุสิตดีกว่าเทพชั้นยามา ... พวกเทพชั้นนิมมานรดีดีกว่าเทพชั้นดุสิต ... พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีดีกว่าเทพชั้นนิมมานรดี ... พรหมโลกดีกว่า ประณีตกว่าพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แล้วน้อมจิตไปในพรหมโลกเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราน้อมไปในพรหมโลกแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ แม้พรหมโลกก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ยังนับเนื่องในสักกายะ* ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพรหมโลก แล้วนำจิตเข้าไปในความดับสักกายะเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพรหมโลกแล้ว เรานำจิตเข้าไปในความดับสักกายะแล้ว ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพไม่กล่าวถึงความต่างอะไรกันของอุบาสก ผู้มีจิตพ้นแล้วอย่างนี้ กับภิกษุผู้พ้นแล้วตั้งร้อยปี คือ พ้นด้วยวิมุตติเหมือนกัน
* ความยึดมั่นในขันธ์ 5 ว่า เป็น ตัวตน
** ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อแทงตลอดมรรคผล อุบาสกและภิกษุทั้งหลายย่อมไม่มีเหตุทำให้ต่างกัน (เพราะเป็นพระอริยบุคคลเหมือนกัน)


